วันพฤหัสบดีที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ประวัติวันปีใหม่


ตามจารีตประเพณีของไทยแต่โบราณ ถือเอาวันแรมหนึ่งค่ำ เดือนอ้าย (เดือนหนึ่ง) เป็นวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งสอดคล้องกับคติทางพระพุทธศาสนา ที่เริ่มฤดูหนาว (เหมันต์) เป็นจุดเริ่มต้นของปีต่อมา จารีตดังกล่าวได้แปรเปลี่ยนไปตามคติของพราหมณ์ ซึ่งใช้วันขึ้นหนึ่งค่ำเดือนห้าเป็นวันขึ้นปีใหม่ ที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดเป็นการนับวัน เดือน ปี แบบจันทรคติ คือการใช้การโคจรของดวงจันทร์เป็นเกณฑ์
ต่อมาเมื่อทางราชการเปลี่ยนมาใช้แบบสุริยคติ คือใช้ดวงอาทิตย์เป็นเกณฑ์ จึงได้ถือเอา วันที่ 1 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ เริ่มใช้เมื่อปี พ.ศ. 2432
วันขึ้นปีใหม่ของนานาอารยประเทศ ใช้วันที่ 1 มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งเป็นการนับตามสุริยคติ เมื่อประเทศไทยซึ่งเดิมใช้วันแรมหนึ่งค่ำ เดือนอ้าย ของไทย เป็นวันขึ้นปีใหม่ นับว่าเป็นห้วงระยะเวลาใกล้เคียง กับวันที่ 1 มกราคม จึงเห็นว่าการที่ใช้วันที่ 1 มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทยเป็นการเหมาะสมดังนี้
ตามทางดาราศาสตร์ การกำหนดอาศัยหลัก 2 ประการ คือ ใช้หลักวันที่ดวงอาทิตย์ อยู่ห่างจากเส้นศูนย์สูตรมากที่สุด ซึ่งจะตกประะมาณ วันที่ 22 ธันวาคม อีกประการหนึ่งใช้หลักวันที่ดวงอาทิตย์ อยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรมากที่สุด ซึ่งจะตกประมาณวันที่ 20 มีนาคม ประเทศไทยเคยใช้หลักประการแรกมาก่อน คือใช้เดือนอ้าย แรมหนึ่งค่ำ ซึ่งใกล้เคียงกับวันที่ 22 ธันวาคม
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ ได้ทรงอธิบายไว้เป็นใจความว่า ฤดูหนาวเป็นเวลาที่พ้นจากมืดฝน สว่างขึ้นเหมือนเวลาเช้า โบราณจึงถือเป็นต้นปี ฤดูร้อนเป็นเวลาสว่างเต็มที่เหมือนเวลากลางวัน โบราณจึงถือเป็นกลางปี ส่วนฤดูฝนเป็นห้วงเวลาที่มืดครื้ม เหมือนกลางคืน โบราณจึงถือเป็นปลายปี จึงได้เริ่มเดือนหนึ่งที่เดือนอ้าย และไทยโบราณถือการเริ่มข้างแรมเป็นต้นเดือน
มีผู้ค้นพบว่า คติที่นับวันใดวันหนึ่งในห้วงระยะเวลาระหว่างวันที่ 21 เดือนธันวาคม ถึงวันที่ 1 เดือนมกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่นี้ เป็นคติเก่าแก่ของชนชาติที่อยู่ในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ หรือสุวรรณภูมิ ด้วยเหตุผลที่พออธิบายได้ว่าในระยะเวลาดังกล่าวนี้ เป็นเวลาที่แลเห็นดวงอาทิตย์มีขนาดโตที่สุด และเป็นเวลาที่อากาศเริ่มเย็นสบาย หลังจากที่หมดฤดูฝนแล้ว ประเทศไทยเราอยู่ในย่านกลางของพื้นที่ดังกล่าว จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า ชาติไทยเราได้มีวันขึ้นปีใหม่ตามคติดังกล่าวมาแต่โบราณกาล
จากการตรวจสอบในห้วงระยะเวลา 30 ปี จากปี พ.ศ. 2453 ถึงปี พ.ศ. 2483 พบว่าวันแรมหนึ่งค่ำ เดือนอ้าย เมื่อเทียบกับวันทางสุริยคติแล้วจะอยู่ในเดือนธันวาคม และส่วนใหญ่จะอยู่ห่างจากวันที่ 1 มกราคม ไม่เกิน 10 วัน ห่างกันมากที่สุด 30 วัน และห่างน้อยที่สุดเพียง 2 วัน เท่านั้น
อินเดียในสมัยโบราณก็ได้เคยใช้วันที่ 1 เดือนมกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่มาแล้ว เรียกว่ามกรสงกรานต์ การที่อินเดียในยุคต่อมาใช้เดือนจิตรมาส หรือเดือนเมษายน เป็นต้นปีนั้น มีที่มาจากฝ่ายเหนือของอินเดีย เพราะในพื้นที่บริเวณดังกล่าว เดือนเมษายนเป็นเดือนที่ลมฟ้าอากาศดีที่สุด มติได้แผ่เข้ามายังชนชาวไทย โดยพราหมณ์นำเข้ามาอิทธิพลของลัทธิพราหมณ์ในครั้งนั้น สูงมากพอจนทำให้ไทยเราหันไปใช้ตามแบบ พราหมณ์ในหลาย ๆ เรื่อง รวมทั้งวันขึ้นปีใหม่ด้วย โดยนับเดือนห้าเป็นต้นปี ทำให้เราต้องขึ้นปีใหม่ 2 ครั้ง คือขึ้นหนึ่งค่ำ เดือนห้า และวันสงกรานต์ ซึ่งจะเลื่อนไปมาในแต่ละปีไม่แน่นอน
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ทรงเห็นความลำบากในกรณีดังกล่าว เมื่อไทยต้องมีการติดต่อกับ ต่างประเทศมากขึ้น ดังนั้น เมื่อปี พ.ศ. 2432 วันขึ้นหนึ่งค่ำ เดือนห้า ไปตรงกับวันที่ 1 เดือนเมษายน พอดี จึงได้มีประกาศบรมราชโองการ ให้ถือวันที่ 1 เดือนเมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทยตั้งแต่นั้นมา
ประเทศไทยได้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่มาเป็นวันที่ 1 เดือนมกราคม เมื่อปี พ.ศ. 2484 ด้วยเหตุผลทั้งมวลที่ได้กล่าวมาแล้ว และที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ บรรดานานาประเทศ ได้ใช้วันนี้เป็นวันขึ้นปีใหม่ ทำให้สมประโยชน์แก่ประเทศไทยด้วยประการทั้งปวง

ความหมายความหมายของวันขึ้นปีใหม่ ตามพจนานุกรม ฉบับราชตบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายของคำว่า " ปี" ไว้ดังนี้ ปี หมายถึง เวลา ชั่วโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ครั้งหนึ่งราว 365 วัน : เวลา 12 เดือนตามสุริยคติ ความเป็นมาในอดีต วันขึ้นปีใหม่ของไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงมาแล้ว 4 ครั้งคือ ครั้งแรกถือเอาวันแรม 1 ค่ำ เดือนอ้าย เป็นวันขึ้นปีใหม่ซึ่ง ตรงกับเดือนมกราคม ครั้งที่ 2 กำหนดให้วันขึ้นปีใหม่ตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 ตามคติพราหมณ์ ซึ่งตรงกับเดือนเมษายน การกำหนดวันขึ้นปีใหม่ใน 2 ครั้งนี้ ถือเอาทางจันทรคติเป็นหลัก ต่อมาได้ถือเอาทางสุริยคติแทน โดยกำหนดให้วันที่ 1 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ ตั้งแต่ พ.ศ.2432 เป็นต้นมา อย่างไรก็ตาม ประชาชนส่วนใหญ่โดยเฉพาะตามชนบทยังคงยึดถือเอาวันสงกรานต์เป็นวันขึ้นปีใหม่อยู่ ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย ทางราชการเห็นว่าวันขึ้นปีใหม่วันที่ 1 เมษายน ไม่สู้จะมีการรื่นเริงอะไรมากนัก สมควรที่จะฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ จึงได้ประกาศให้มีงานรื่นเริงวันขึ้นปีใหม่ในวันที่ 1 เมษายน 2477 ขึ้นในกรุงเทพฯเป็นครั้งแรกการจัดงานวันขึ้นปีใหม่ที่ได้เริ่มเมื่อวันที่ 1 เมษายน ได้แพร่หลายออกไปต่างจังหวัดในปีต่อๆ มา และในปี พ.ศ.2479 ก็ได้มีการจัดงานรื่นเริงปีใหม่ทั่วทุกจังหวัด วันขึ้นปีใหม่วันที่ 1 เมษายน ในสมัยนั้นทางราชการเรียกว่า วันตรุษสงกรานต์ต่อมาได้มีการพิจารณาเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่อีกครั้งหนึ่ง โดยคณะรัฐมนตรีได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้น ซึ่งมีหลวงวิจิตรวาทการเป็นประธานกรรมการ ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ให้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่เป็นวันที่ 1 มกราคม โดยกำหนดให้วันที่ 1 มกราคม 2484 เป็น วันขึ้นปีใหม่เป็นต้นไปเหตุผลที่ทางราชการได้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่จากวันที่ 1 เมษายนมาเป็นวันที่ 1 มกราคม ก็คือ 1. ไม่ขัดกับพุทธศาสนาในด้านการนับวัน เดือน และการร่วมฉลองปีใหม่ด้วยการทำบุญ 2. เป็นการเลิกวิธีนำเอาลัทธิพราหมณ์มาคร่อมพระพุทธศาสนา 3. ทำให้เข้าสู่ระดับสากลที่ใช้อยู่ในประเทศทั่วโลก 4. เป็นการฟื้นฟูวัฒนธรรม คตินิยม และจารีตประเพณีของชาติไทย กิจกรรมที่ชาวไทยส่วนใหญ่มักจะยึดถือปฏิบัติในวันขึ้นปีใหม่ได้แก่ 1. การทำบุญตักบาตร โดยอาจตักบาตรที่บ้าน หรือไปที่วัดหรือตามสถานที่ต่างๆที่ทางราชการเชิญชวนไปร่วมทำบุญ 2. การกราบขอพรจากผู้ใหญ่ และอวยพรเพื่อนฝูง การมอบของขวัญ การมอบช่อดอกไม้ หรือการส่งบัตรอวยพร 3. การจัดงานรื่นเริง การจัดเลี้ยงในหมู่เพื่อนฝูง ญาติพี่น้องหรือตามหน่วยงานต่างๆ วันขึ้นปีใหม่นับเป็นโอกาสดีที่จะทำให้เราได้ทบทวนถึงการดำเนินชีวิตในอดีต เพื่อจะได้แก้ไขข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นในอดีตให้ดีขึ้นกิจกรรมวันที่ 1 มกราคมของทุกปี จะมีการทำบุญตักบาตรและอุทิศส่วนกุศลผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ฟังเทศน์ ปล่อยปลา ปล่อยนก อวยพรซึ่งกันและกัน หรืออาจจะส่งการ์ดบัตรอวยพร ของขัวญไหว้ผู้ใหญ่เพื่อรับพร และสรงน้ำพระพุทธรูป ประดับธงชาติ และจะเตรียมทำความสะอาดบ้าน และที่พักอาศัย

C'est moi


Je m'appelle Narumol Chamnim
Je suis réfléchi , gaie, volontaire , sociable et curieuse de tout
Je n'aime pas des gens qui sont timide , inquiet , paresseuse , capricieuse et secret,,
Je suisgaie et affectueuse mais Je n’aime pas les gens qui sont jalouxs et hypocrites. *

วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2552

การออกกำลังกายในเด็กวันเรียน / วัยรุ่น

ประโยชน์ของการออกกำลังกายในวัยเด็ก คือช่วยให้เด็กเคลื่อนไหว สนองความ ต้องการ ซุกซนและความไม่ยอมอยู่นิ่ง เป็นการฝึกความคล่องตัว และความอ่อนตัว ของ ส่วนต่างๆ ของร่างกาย ทั้งยังทำให้เด็กรู้จักควบคุมกล้ามเนื้อในการเคลื่อนไหวได้ดี
นอกจากนี้ การออกกำลังยังช่วยให้เด็กเล็กมีการตัดสินใจดีขึ้น ประสาทและ กล้ามเนื้อมีความสัมพันธ์ กันและเป็นการปูพื้นฐานทักษะ การเคลื่อนไหวในขั้นยาก ๆ เมือเติบโตขึ้นต่อไป
ข้อแนะนำการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพในอายุต่ำกว่า 10 ปี
การออกกำลังกายในวัยนี้ ควรมุ่งให้เด็กมีความเพลิดเพลินและให้เด็กได้ฝึกหรือ เล่นด้วยความสมัครใจพร้อมอธิบายถึงประโยชน์ ที่เด็กได้รับจากการฝึก ไม่ควรใช้วิธี บังคับ ควรจัดให้เท่าที่เด็กต้องการ โดยเน้นที่ความสนุกสนานของเด็กเป็นใหญ่ ไม่ควร ทำเพื่อจุดประสงค์ของพ่อแม่หรือโค้ช การตั้งความหวังสูงมากหรือการมุ่ง ฝึกเพื่อ เอาชนะเพียงอย่างเดียวล้วนเป็นผลเสียต่อสุขภาพเด็กทั้งสิ้น เพราะการทำงาน ของระบบประสาท และการประสานงานของกล้ามเนื้อมีน้อย จึงควรให้เด็กได้ออกกำลัง กายเบา ๆ ง่าย ๆ ไม่ต้องใช้อุปกรณ์มากนัก เช่น การวิ่ง การเล่นเกมส์ ยิมนาสติก การบริหาร ประกอบดนตรี การเล่นที่ฝึกความคล่องแคล่ว และความชำนาญแบบง่าย ๆ เช่น ปีน ไต่
ข้อแนะนำการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพในอายุ 11-14 ปี
การออกกำลังกายในวัยนี้ เพื่อเพิ่มความคล่องแคล่ว ปลูกฝังให้มีน้ำใจนักกีฬาและให้มีการแสดงออกถึงความสามารถเฉพาะตัว ส่งเสริมให้เด็กเล่นกีฬาที่หลากหลาย เพื่อให้มีการพัฒนาร่างกายทุกส่วนโดยใช้กิจกรรมหลายๆ อย่างสลับกันเช่น ฟุตบอล แชร์บอล วอลเลย์บอล ปิงปอง แบดมินตัน ยิมนาสติก ว่ายน้ำ ขี่จักรยานแต่ต้องหลีกเลี่ยงการปะทะในกิจกรรมที่ต้องสัมผัสกับฝ่ายตรงข้าม และที่เป็นข้อห้ามคือ การชกมวย และการออกกำลังกายที่ต้องใช้ความอดทน เช่น วิ่งระยะไกล (ระยะทาง 10 กิโลเมตรขึ้นไป) การออกกำลังกายในแต่ละวัน ควรได้จากการฝึกเล่นกีฬาวันละ 2 ชั่วโมง สลับกับการพักเป็นระยะ ๆ
ข้อแนะนำการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพในเด็กอายุ 15-17 ปี
การออกกำลังกายวัยนี้จะมีความแตกต่างระหว่างเพศ ผู้ชายจะออกกำลังกายเพื่อ ให้เกิดกำลัง ความแข็งแรง รวดเร็ว และความอดทน เช่น การวิ่ง ว่ายน้ำ ถีบจักรยาน เล่น บาสเกตบอล วอลเลย์บอล โปโลน้ำ ฟุตบอล กระโดดสูง กรรเชียง ส่วนผู้หญิงจะเน้นการออก กำลังกายประเภทที่ไม่หนักแต่ทำให้ร่างกายแข็งแรงและเสริมสร้างรูปร่างทรวดทรง เช่น ว่ายน้ำ ยิมนาสติก และวอลเลย์บอล เป็นต้น ให้ปฏิบัติเป็นกิจวัตรประจำวัน วันละ 1 ชั่วโมง โดยใช้การออกแรงแบบหนักสลับเบา

กินฟาสต์ฟู้ดให้ได้คุณค่า

ฟาสต์ฟูด หมายถึงอาหารจานด่วน หรืออาหารจานเดียวแบบตะวันตก กำลังได้ รับความนิยมอย่างแพร่หลายในกลุ่มวัยเรียนและวัยรุ่น อาหารประเภทนี้มักจะมีปริมาณ ไขมันอิ่มตัวและโซเดียมสูง แต่มีเส้นใยอาหารต่ำ และส่วนใหญ่จะขายคู่กับน้ำอัดลม ซึ่งให้ พลังงานที่ได้จากน้ำตาลโดยไม่ให้สารอาหารอื่นๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย การกินฟาสต์ฟูด เป็นประจำอาจทำให้อ้วนและมีผลเสียต่อสุขภาพระยะยาว
อย่างไรก็ตาม ฟาสต์ฟูดยังให้โปรตีน แร่ธาตุ และวิตามินบางชนิดในปริมาณ มากพอควร ถ้ารู้จักเลือกกินฟาสต์ฟูดอย่างเข้าใจจะช่วยให้ได้คุณค่าทางโภชนาการ ดีขึ้น โดยเลือกให้มีความหลากหลายของประเภทอาหาร เช่น เมื่อกินไก่ทอดควรสั่ง สลัด และมันบดกินร่วมด้วย กินมิลค์เชคแทนน้ำอัดลมหรือเมื่อกินพิซซ่าควรกินร่วมกับ สลัดผัก และใส่น้ำสลัดแต่พอควร หรือเลือกน้ำสลัดไขมันต่ำ และถ้ากินฟาสต์ฟูด มื้อใดก็ตาม จะต้องปรับการกินอาหารในมื้ออื่นด้วยการเลือกกินผัก ผลไม้ ธัญพืช และ เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน เพื่อให้สมดุลกับปริมาณไขมันในฟาสต์ฟูดและเพิ่มใยอาหาร

โปรตีนสำหรับวัยรุ่น

โปรตีนเป็นสารอาหารที่จำเป็นสำหรับการสร้างเนื้อเยื่อต่างๆ เพื่อการเจริญเติบโต หรือชดเชยส่วนที่สูญเสียไป เป็นส่วนประกอบของเอนไซม์และฮอร์โมนทุกชนิด เด็กวัยเรียน และวัยรุ่นเป็นวัยที่ร่างกายมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว จึงมีความต้องการโปรตีน ที่มีคุณภาพดีในปริมาณมากพอสำหรับการเสริมสร้างการเจริญเติบโต โปรตีนที่ร่างกาย ได้รับจากอาหารจะมีคุณภาพแตกต่างกันขึ้นอยู่กับชนิดของกรดอะมิโนที่เป็นส่วนประกอบ ของโปรตีน ดังนั้น อาหารที่ประกอบด้วยกรดอะมิโนครบถ้วน จัดเป็นอาหารที่มีโปรตีน สมบูรณ์ ได้แก่ อาหารประเภท เนื้อสัตว์ต่างๆ ไข่ และนม อาหารที่มีกรดอะมิโนไม่ครบ ถ้วน จะจัดเป็นอาหารโปรตีนชนิดไม่สมบูรณ์ ได้แก่ ถั่วเมล็ดแห้งต่างๆ เช่น ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วแดงและถั่วดำ พืชผักต่างๆ และธัญพืช
ดังนั้น โปรตีนที่ควรบริโภคสำหรับวัยเรียนและวัยรุ่น ก็คือโปรตีนที่มาจากเนื้อสัตว์ ชนิดต่างๆ ทั้งสัตว์บกและสัตว์น้ำ ไข่ นม และผลิตภัณฑ์จากอาหารเหล่านี้ และควรเลือก บริโภคถั่วเมล็ดแห้งและผลิตภัณฑ์จากถั่วเมล็ดแห้งบ้างเป็นบางมื้อ จะช่วยให้ร่างกาย ได้รับโปรตีนเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย

อยากสูง…ทำอย่างไรดี

ความสูงเป็นสิ่งที่วัยรุ่นปรารถนา นอกจากนี้ ความสูงเป็นสิ่งต้องการ สำหรับการเล่นกีฬาและการประกอบอาชีพบางอย่าง ช่วงวัยรุ่นเป็นช่วงที่จะทำให้ สูงได้ตามศักยภาพของพันธุกรรมอีกช่วงหนึ่งของชีวิต โดยทั่วไป วัยรุ่นหญิงจะหยุด สูงเมื่ออายุประมาณ 17 ปี และวัยรุ่นชายจะหยุดสูงเมื่ออายุประมาณ 19 ปี
โภชนาการมีความสำคัญยิ่งต่อการช่วยพัฒนาความสูง ถ้าเลยวัยนี้แล้ว จะไม่ สามารถทำให้สูงได้ตามต้องการ เพื่อให้ร่างกายสูงขึ้นดังปรารถนา การกินอาหาร ให้ครบ 5 หมู่ ที่สมดุลและมีปริมาณเพียงพอกับความต้องการของร่างกายจึงมีความ สำคัญมาก สารอาหารที่จำเป็นสำหรับการเสริมสร้างความสูง ได้แก่ สารอาหารโปรตีน ซึ่งสำคัญสำหรับสร้างเนื้อเยื่อเพื่อเป็นฐานโครงสร้างของกระดูกโปรตีนที่ได้จากอาหาร จะต้องเป็นโปรตีนคุณภาพดีซึ่งจะได้จากเนื้อสัตว์ต่างๆ ไข่ และนม สารอาหารที่สำคัญ อีกชนิดหนึ่งก็คือแคลเซียม ซึ่งวัยรุ่นต้องการในปริมาณที่สูงมาก เมื่อเทียบกับวัยอื่นๆ พบว่า เด็กวัยเรียนและวัยรุ่นที่ไม่ดื่มนม จะได้รับแคลเซียมจากอาหารประมาณ 1 ใน 3ของ ความต้องการใน 1 วัน การดื่มนมอย่างน้อยวันละ 2 แก้วจึงเป็นสิ่งจำเป็น นอกจากการ กินอาหารให้ถูกต้องตามหลักโภชนาการดังกล่าวแล้ว การออกกำลังกายหรือการเล่นกีฬา เป็นประจำ และการหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ จะกระตุ้นการหลั่งของฮอร์โมนสำหรับ การเจริญเติบโตช่วยพัฒนาความสูงให้เป็นไปตามปกติ และพบว่า กีฬาประเภทที่มีการยืด ตัว เช่น ว่ายน้ำ บาสเกตบอล และโหนบาจะช่วยพัฒนาความสูงได้ดีกว่า กีฬาประเภทอื่นๆ

วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เคล็ดลับในการทำงานให้เสร็จทันเวลาในแต่ละวัน

การทำงานให้เสร็จทันเวลาในแต่ละวัน ต้องอาศัยเคล็ดลับ ไม่ยาก ต่อให้คุณจะยุ่งมากแค่ไหน คุณก็สามารถทำให้งานต่าง ๆ เสร็จได้ไม่ยากเลย มาดูเคล็ดลับความสำเร็จกันเถอะคือ ความสำเร็จอยู่ในมือคุณแล้ว มาดูกันเลย ...
++เตรียมพร้อม++คือเตรียมรายการที่ต้องทำในแต่ละวัน จัดลำดับความสำคัญ แล้วทำสิ่งที่สำคัญที่สุดก่อน..
++อย่ารับงานมาก
++ไม่ทำงานหลายอย่างในเวลาเดียวกัน ควรตัดสินใจเลือกทำงานชิ้นใดชิ้นหนึ่งให้เสร็จก่อนที่จะทำงานอื่นต่อไป..
++อย่าหวังว่าทำได้ดีที่สุด++เพราะการทำทุกอย่างให้ดีไม่มีที่ตินั้น ต้องใช้เวลาและพลังงานมาก ดังนั้นอย่าเสียเวลากับเรื่องเล็กน้อยที่ไม่สำคัญจนกลายเป็นการบริหารเวลาไม่เป็น..
++รู้จักปฏิเสธ++หากไม่สามารถทำได้ทันเวลาหรือเป็นงานที่เกินกำลัง..
++อย่าเสียเวลากับกองกระดาษ
++ไม่ควรเก็บเอกสารทุกอย่างรวมกันไว้เต็มโต๊ะ เพราะเมื่อต้องการใช้เอกสารสำคัญจะต้องเสียเวลานาน ควรจัดทำเป็นแฟ้มเอกสารเพื่อจะใช้ได้ง่าย..
++หาคนช่วย
++ไม่ต้องกลัวเสียหน้า ถ้าเราเดือดร้อนแล้วบอกเพ ื่อน เพื่อนที่ดีจะช่วยเรา และเขาก็จะพอใจที่เราวางใจเขาให้ช่วย.. และ
++พักผ่อนบ้าง++เช่น ถ้าเป็นเวลาทำงาน ควรหาเวลาพักสมองบ้าง ถ้าเป็นหลังเลิกงานก็หาสิ่งที่ทำแล้วสบายใจ เช่นอ่านหนังสือหรือดูหนังฟังเพลง…

9 เทคนิค ฝึกสมองไบรท์

9 เทคนิค ฝึกสมองไบรท์ "
>โดย วนิษา เรซ ผู้เชี่ยวชาญด้านอัจฉริยภาพจาก ม.ฮาร์วาร์ด
>ผู้หญิงสมัยนี้ อยากสวย ฉลาด และสุขภาพดี ทุกคนจึงพากันดูแลรูปร่าง
>ด้วยการออกกำลังกาย เคร่งครัดเรื่องอาหารการกิน
>แต่ไม่เคยมีใครสนใจว่าจะดูแลสมองอย่างไรให้มีสุขภาพดี
>ทั้งที่สมองเป็นอวัยวะที่ตัดสินใจทุกเรื่องของชีวิต
>เราจึงควรเอกเซอร์ไซส์สมองให้ไบรท์ด้วยเทคนิคง่ายๆ ต่อไปนี้
>1. จิบน้ำบ่อย ๆ (Drink water very often)>สมองประกอบด้วยน้ำ 85 % เชลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง>ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เชลล์สมองเหี่ยว>ซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก >แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อยๆ
>>2. กินไขมันดี (Enjoy good Omega 3)>คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ>แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย >ปลาที่มีไขมันดีอย่างปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม>น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดี ที่ทำให้เชลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น
>3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที (Meditation 12 min a day)>หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที >เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุดๆ>ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์>(ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า) ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน
>4. ใส่ความตั้งใจ (Program the brain: have specific intention) >การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด>ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น>ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่างๆ>เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่คิดขึ้น >ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน
>5. หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ (Laugh and Smile)>ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอ็นโดรฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุข>หลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ
>6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน (Learn new thing everyday)>สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึง สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น>กินอาหารร้านใหม่ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่>คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา เป็นต้น >เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟิน และโดปามีน>ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ ไปเรื่อยๆ>เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์
>7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน (Forgive yourself, reduce brain stress) >ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง>การให้อภัยตัวเอง เป็นการลดภาระของสมอง
>8. เขียนบันทึก Graceful Journal (Write graceful journal, good things in>life every day) >ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น>ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพที่ดี>ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข เป็นต้น เพราะการเขียนเรื่องดีๆ>ให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี >ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์
>9. ฝึกหายใจลึกๆ (Deep breath)>สมองใช้ออกชิเจน 20 25 % ของออกชิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึกๆ>จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง>ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกชิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนานๆ >อาจหาเวลายืนหรือเดินยึดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่>สามารถหายใจเอาออกชิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20%>การมีสมองที่ดีก็เหมือนทักษะทุกอย่างในโลกที่เรียนรู้ได้ แต่จะเก่งหรือไม่นั้น>ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ถ้าเราดูแลและฝึกฝนสมองให้ดี คุณภาพชีวิตก็จะดีตาม

การตรวจหามะเร็งระยะแรก


การตรวจหามะเร็งในระยะเริ่มแรก (Early Detection of Cancer)
หลังการตรวจค้นหามะเร็งในระยะเริ่มแรก มีหลักการที่สำคัญดังนี้ คือ * การสอบถามประวัติโดยละเอียด มีความสำคัญเพราะว่าประวัติต่าง ๆ อาจเป็นแนวทาง เบื้องต้นที่ช่วยในการวินิจฉัยได้ เช่น
1. ประวัติครอบครัว มะเร็งส่วนใหญ่ไม่ใช่โรคที่สืบเนื่องโดยตรงเกี่ยวกับพันธุกรรม แต่มีมะเร็งบางอวัยวะมีความโน้มเอียงที่จะเกิดใน พี่น้องครอบครัวเดียวกัน เช่น มะเร็งตาบางชนิด มะเร็งเต้านม เป็นต้น
2. ประวัติ สิ่งแวดล้อม ปัจจุบันนี้ยังไม่ทราบแน่นอนว่า มะเร็งเกิดจากสาเหตุใด แต่ก็มีข้อสังเกตุว่า สิ่งแวดล้อมบาง อย่าง อาจเป็นเหตุส่งเสริมให้เกิดโรคมะเร็งบางชนิดได้ เช่น ผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับสารกัมมันตภาพรังสี ในระยะเวลานาน ๆ อาจเป็นโรคมาะเร็งเม็ดเลือดขาว มากกว่าผู้ที่ประกอบอาชีพอื่น ๆ
3. ประวัติส่วนตัว อุปนิสัย และความเป็นอยู่ส่วนตัว ของแต่ละบุคคล ก็อาจเปแนเหตุสนับสนุนให้เกิดโรคมาะเร็งบางอย่าง เช่น
o ผู้ที่สูบบุหรี่มาก ๆ เป็นระยะเวลานาน ๆ จะมีโอกาสเป็นมะเร็งปอดมากกว่าผู้ที่ไม่สูบ
o ผู้ที่มีประวัติการร่วมเพศตั่งแต่ อายุน้อย มีประวัติสำส่อนทางเพศ, มีบุตรมากจะเป็นมะเร็งปากมดลูก ได้มากกว่า ผู้ที่ไม่เคยแต่งงาน
4. ประวัติเกี่ยวกับอาการเจ็บไข้ต่าง ๆ
o เป็นตุ่ม ก้อน แผล ที่เต้านม ผิวหนัง ริมฝีปาก กระพุ้งแก้มหรือที่ลิ้น
o ตกขาวมาก หรือมีเลือดออกทางช่องคลอดผิดปกติ
o เป็นแผลเรื้อรังไม่รู้จักหาย
o ท้องอืด เบื่ออาหาร ผอมลงมาก
o หูด หรือปานที่โตขึ้นผิดปกติ
o เสียงแหบอยู่เรื่อย ๆ ไอเรื้อรัง
o การเปลี่ยนแปลงในการถ่ายอุจระ ปัสสาวะผิดไปจากปกติ
* การตรวจร่างกายโดยละเอียดเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยในการวินิจฉัยโรค ในด้านการปฏิบัติ แพทย์ไม่สามารถจะตรวจร่างกาย ได้ทุกอวัยวะ ทุกระบบโดยครบถ้วน จึงมีหลักเกณฑ์ว่า ในการตวจร่างกายทั่วไป เพื่อตรวจหามะเร็งระยะเริ่มแรกนั้น ควรตรวจอวัยวะ ต่าง ๆ เท่าที่สามารถจะตรวจได้ดังต่อไปนี้
o ผิวหนัง และเนื้อเยื่อบางส่วน
o ศีรษะ และ คอ
o ท้อง
o อวัยวะเพศ
o ทวารหนัก และลำไส้ใหญ่ส่วนกลาง
* การตรวจทางห้องปฏิบัติการ และการตรวจอื่น ๆ
1. การตรวจทางห้องปฏิบัติการ มีประโยชน์ที่จะช่วยในการตรวจค้นหา การวินิจฉัย การรักษารวมทั้งการตรวจ ติดตามผลการักษาโรคมะเร็งด้วย การตรวจได้แก่ o การตรวจเม็ดเลือด o การตรวจปัสสาวะ, อุจระ o การตรวจเลือดทางชีวเคมี
2. การตรวจเอ็กซ์เรย์ มีประโยชน์ในการวินิจฉัยและการรักษาโรคมะเร็งบางชนิด ซึ่งมีวิธีการหลายอย่าง เช่น o การเอ็กซ์เรย์ปอด ซึ่งเป็นวิธีการพื้นฐาน อย่างหนึ่ง ในการตรวจสุขภาพ o การเอ็กซ์เรย์ทางเดินอาหาร ในรายที่มีปัญหาสังสัยเกี่ยวกับทางเดินอาหาร o การตรวจเอ็กเรย์เต้านม เป็นการตรวจลักษณะก้อนผิดปกติที่เต้านม
3. การตรวทางเวชศาสตร์ นิวเคลียร์ หลักสำคัญในการตรวจคือ ให้ผู้ป่วยกลืนฉีดสารกัมมันตภาพรังสีบางชนิด สารดังกล่าว จะไปรวมที่อวัยวะบางส่วน แล้วถ่ายภาพตรวจการกระจายของสารกัมมันตภาพรังสีนั้น ๆ เช่น การตรวจเนื้องอก ของต่อมไทรอยด์, สมอง, ตับ , กระดูกอ่อน เป็นต้น
4. การตรวจทางเซลล์วิทยา และพยาธิวิทยา
1. การตรวจทางเซลล์วิทยา (Papanicoloau Smear) เป็นวิธีการตรวจหามะเร็งในระยะเริ่มแรก ของอวัยวะ ต่าง ๆ ดังตัวอย่าง เช่น o การขูดเซลล์ จากเยื่อบุอวัยวะบางอย่างให้หลุดออกมา เช่น ปากมดลูก, เยื่อบุช่องปาก เป็นต้น o เก็บเซลล์จากแหล่งที่มีเซลล์หลุดอมาขังอยู่ เข่ง ในช่องคลอด ในเสมหะ
5. การตรวจเนื้อเยื่อทางพยาธิวิทยา เป็นการตรวจที่สำคัญที่สุดในการวินิจฉัยโรคมะเร็ง โดยการตัดเนื้อเยื่อ (Tissue Biopsy) แล้วตรวจละเอียดโดยกล้องจุลทรรศน์ อนึ่ง โรคมะเร็งอาจเกิดแก่อวัยวะต่าง ๆ กัน มะเร็งบางอวัยวะ อาจตรวจวินิจฉัยได้ง่าย บางชนิดตรวจวินิจฉัย ได้ยาก แต่มีข้อสังเกตุว่า มระเร็งที่พบได้บ่อย ๆ ในประเทศของเรา เช่น มะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านม มะเร็งช่องปาก เป็นโรคที่อาจตรวจวินิจฉัยได้ไม่ยาก ถ้าสน ใจตรวจสุขภาพเป็นประจำ
ประโยชน์ของการตรวจค้นหามะเร็งระยะเริ่มแรก การตรวจค้นหามะเร็งระยะเริ่มแรกนั้น มีประโยชน์ เพราะมะเร็งระยะเริ่มต้น อาจรักษาได้ผลดีมาก จนหายขาด และเป็นการป้องกันมิให้ผู้ป่วย เป็นโรคมระเร็งในระยะลุกลามซึ่งจะเป็นอันตรายแก่ชีวิตได้คำว่า "สายเสียแล้ว" จะไม่เกิดกับท่านที่ตรวจมระเร็งปีละครั้ง

วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

10 ข้อคิด จากมุมมองที่แตกต่าง

10 ข้อคิด จากมุมมองที่แตกต่าง
1. ไม่ว่าวันนี้จะเลวร้ายแค่ไหน จงยิ้มเข้าไว้ .... เพราะพรุ่งนี้อาจจะเลวร้ายยิ่งกว่า2. คำว่า 'พรุ่งนี้รวย' ของคนขายลอตเตอรี่ ไม่ใช่คำมั่นสัญญา แต่เป็นปรัชญาที่ต้องตีความ .... เช่นเดียวกับคำพูดของนักการเมือง3. สิ่งที่คนเมาพูด คือ สิ่งที่คนปกติคิด4. ปัญหาทุกอย่างมีทางแก้ แต่ไม่ว่าคุณจะแก้ดียังไง มันก็จะนำไปสู่ปัญหาใหม่ ที่ต้องให้คุณคิดหาทางแก้ไขต่อไป .... เป็นเช่นนี้เรื่อยไป5. ทุกปัญหาย่อมมีวิธีแก้ที่ง่ายที่สุด .... แต่วิธีแก้ที่ง่ายที่สุด จะพบหลังจากใช้วิธียากที่สุดไปแล้ว6. อะไรก็ตามที่คุณอยากจะถาม .... เป็นไปได้มากว่า มันคือสิ่งที่คุณไม่ควรจะรู้7. คนเรามีแนวโน้มที่จะพูดในเรื่องที่ไม่ควรพูด ในเวลาที่ไม่เหมาะสมที่สุด และกับคนที่ไม่น่าจะพูดด้วยที่สุด8. สินค้าที่ประสบความสำเร็จทางการตลาดที่สุด คือ สินค้าที่คนโง่ที่สุดใช้เป็น และอยากจะใช้ แม้จะไม่มีประโยชน์อะไรเลยก็ตาม9. เมื่อคุณมาประชุมสาย ประธานจะมาตรงเวลา และเมื่อคุณมาตรงเวลา การประชุมจะเลื่อนไป .... ไม่มีกำหนด10. อะไรก็ตามที่คุณคิดได้และรู้สึกว่ามันสุดยอดจริงๆคุณก็จะพบว่ามีคนอื่นที่ไหนสักแห่งคิดมาแล้ว ....ความต่างที่ไม่ต่างของคนที่มองมุมเดียวกัน

15 นาทีเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น

การดูแลสุขภาพอาจดูเป็นเรื่องน่าเบื่อและยุ่งยากแต่ที่จริงช่วงเวลาเล็กๆ น้อยๆ แค่ 5 -15 นาทีก็ช่วยให้ร่างกายดีขึ้นได้แบบง่ายๆ เป็นของขวัญวันต้นปีที่ดีที่สุดสำหรับตัวคุณเอง โดยแบ่งเวลาก่อนหรือหลังกิจกรรมที่คุณทำอยู่แล้วประจำวันแล้วเพิ่มรายละเอียดที่เราแนะนำเข้าไปอีกนิด เพื่อชีวิตที่ดีขึ้นค่ะ ดื่มน้ำ 1 นาที ตอนตื่นนอน เมื่อตื่นนอนแล้วควรดื่มน้ำ1-2 แก้วเพื่อกระตุ้นการทำงานของอวัยวะ และระบบขับถ่าย ทำให้รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าขึ้นหากกลัวลืมให้วางขวดและแก้วน้ำไว้ที่หัวเตียงก่อนนอน เพื่อที่จะดื่มได้ทันทีที่ตื่นขึ้น หัวเราะ 15 นาที ก่อนอาหารเย็น ผลัดกันเล่าเรื่องตลกกับคนในครอบครัวคนละ 1 เรื่องทุกวันและหัวเราะเต็มเสียงให้ลมผ่านปาก ลำคอ ปอด กระเพาะ ลำไส้ใหญ่ - เล็ก จนรู้สึกว่าอวัยวะทุกส่วนเคลื่อนไหว หรือจนรู้สึกเกร็งหน้าท้อง เพื่อให้ร่างกายได้ออกซิเจนมากขึ้นฟอกปอด ป้องกันการเวียนหัว อ่อนเพลีย แถมยังเพิ่มความผูกพันในครอบครัวให้แน่นแฟ้นขึ้นด้วย เดินเพิ่มขึ้น 15 นาที ก่อนเริ่มงาน เปลี่ยนจากใช้ลิฟท์เป็นเดินขึ้น-ลงบันไดแทนหรือขยับไปจอดรถไกลขึ้นอีกหน่อย เพื่อให้เดินไกลขึ้น โดยเดินให้เร็วขึ้นกว่าปกติ และเพิ่มระยะทางการเดินขึ้นเรื่อยๆ ทุกวัน หากมีเวลาอาจไปเดินเล่นในสวนสาธารณะ นอกจากได้ออกกำลังกายแล้ว ยังได้รับอากาศบริสุทธิ์ด้วย วิธีนี้เหมาะสำหรับคนทำงานที่ต้องนั่งโต๊ะทั้งวันจะช่วยให้ร่างกายได้เคลื่อนไหวและออกแรงบ้าง กะพริบตาทุก 15 นาที เมื่ออยู่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ กะพริบตาเพิ่มขึ้น 1-2 ครั้งทุก 15 นาที และเมื่อเลิกใช้คอมพิวเตอร์ให้กระพริบตาถี่ๆ เพื่อให้แก้วตาสะอาดและมีน้ำหล่อเลี้ยงมากขึ้น โดยเฉพาะคนที่ใส่แว่นตาหรือคอนแทคเลนส์ยิ่งจำเป็นเพราะจะช่วยให้ตาไม่แห้งเกินไป ล้างมือ 1 นาที ก่อนเข้าห้องน้ำ มีงานวิจัยพบว่าคนเข้าห้องน้ำโดยไม่ล้างมือมีโอกาสเป็นมะเร็งปากมดลูกมากว่าคนที่ล้างมือก่อนเข้าห้องน้ำ แม้ยังไม่ได้ข้อสรุปชัดเจน แต่การล้างมือก่อนเข้าห้องน้ำก็ช่วยให้มือคุณสะอาดจากเชื้อโรคหากต้องสัมผัสกับจุดซ่อนเร้นและไม่ก่อโรคให้ตัวเองแบบไม่ตั้งใจ ที่สำคัญออกจากห้องน้ำแล้วอย่าลืมล้างมืออีกครั้ง หยุดกิน 5 นาที ก่อนอิ่มจริง ทุกครั้งเวลากินอาหารมื้อหลัก ให้หยุดกินก่อนอิ่มจริง 5 นาที และควรกินอาหารแค่ "เกือบอิ่ม" เท่านั้น กระเพาะอาหารจะได้ไม่ทำงานหนักเกินไป

วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ใครคิดค้น...หมากฝรั่ง

ต่อมา ค.ศ. 1869 นายวิเลียม เอฟ เซมเพิล (William F. Semple) ทันตแพทย์จากรัฐโอไฮโอ ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้นำหมากฝรั่งอันนี้ มาพัฒนาต่อ เพื่อสนับสนุนให้คนเคี้ยวหมากฝรั่ง เพื่อบริหารกรามรักษา สุขภาพฟัน โดยเขาใส่ส่วนผสมที่ช่วยในการขัดฟัน ประเภทยาง ชอล์ก ถ่านและผงรากกลิโคริซ (licorice) แล้วจดทะเบียนลิทธิบัตรตั้งแต่นั้นมา

หมากฝรั่งดีต่อเหงือก ดีต่อฟัน แต่ไม่ดีกับสิ่งแวดล้อม ฉะนั้นเมื่อเคี้ยวแล้ว จะทิ้งของให้ทิ้งเป็นที่เป็นทาง เพื่อไม่ให้ไปติดเปื้อนผู้อื่น เพราะชักไม่ออก ดึงไม่ออก เกิดความเสียหาย

กลิ่นลาเวนเดอร์...ช่วยให้หายตื่นเต้นได้จริงหรอ

ผู้หญิงที่รู้ตัวว่าเป็นคนขวัญอ่อน หากจะต้องไปดูภาพยนตร์เรื่องเขย่าขวัญ ขอแนะนำว่าควรจะเตรียมหาน้ำหอมกลิ่นดอกลาเวนเดอร์เตรียมไปใช้ดมเอาไว้ จะไม่ ตกอกตกใจอะไรมาก หากแต่มันออกฤทธิ์กับสตรีเท่านั้น ไม่มีผลแบบเดียวกันถึงผู้ชายด้วย

กลิ่นลาเวนเดอร์...ช่วยให้หายตื่นเต้นได้จริงหรอ
ทีมนักวิจัยมหาวิทยาลัยเซนทรัล แลงแคชเชียร์ ของอังกฤษ ได้พบในการศึกษา ด้วยการคอยตรวจวัดดูอัตราการเต้นของหัวใจ ของกลุ่มสตรีที่ให้ดูภาพยนตร์เรื่องตื่นเต้นน่ากลัว เมื่อได้ดมน้ำหอมกลิ่นดอกลาเวนเดอร์ไปด้วย พบว่าจะไม่ค่อยเต้นเร็วขึ้นเท่าใด แสดงว่าอยู่ในภาวะผ่อนคลาย ตลอดเวลาของการชม

ในขณะที่กลุ่มผู้ชายที่เปรียบเทียบกัน กลับมีอาการตื่นเต้นมากกว่า อย่างเช่น เหงื่อมือออก แม้ว่าจะดมกลิ่นน้ำหอมด้วยเหมือนกัน


กลิ่นลาเวนเดอร์...ช่วยให้หายตื่นเต้นได้จริงหรอ

หัวหน้าคณะนักวิจัย บอกชี้แจงว่า ยังไม่ทราบสาเหตุว่า
ทำไมน้ำหอมจึงมีผลแต่กับผู้หญิงเท่านั้น

ก่อนหน้านี้เมื่อปีกลาย นักวิจัยของวิทยาลัยคิงส์ คอลเลจลอนดอน ก็เคยรายงานว่า กลิ่นหอมๆ ช่วยให้บรรดาคนไข้ที่มาคอยรอรับการรักษา คลายความรู้สึกร้อนอกร้อนใจลงได้ พร้อมกับเสนอด้วยว่า ควรจะมีการปล่อยกลิ่นหอม ตามห้องคนไข้ที่มารอหาหมอ ซึ่งเหมือนกับเป็นการให้การบำบัดรักษาถึงที่

วันจันทร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2552

ทำไมโดนัท...ถึงต้องมี " รู "

โดนัท (Doughnut, Donut) เป็นขนมแป้งทอดหรืออบ ที่มีเนื้อคล้ายกับขนมเค้ก มีลักษณะกลมมีรูตรงกลางคล้ายกับห่วงยาง มีหลายรสชาติ ถ้าเป็นของไทยจะมีน้ำตาลอยู่ที่ผิวของขนม โดนัทสามารถแบ่งออกตามกรรมวิธีการผลิตได้เป็น2 ประเภท คือ โดนัทยีสต์ และโดนัทเค้ก




กระบวนการผลิตโดนัทยีสต์นั้น จะใช้ยีสต์เป็นส่วนประกอบในการหมักแป้งให้ขึ้นฟู ซึ่งแตกต่างจากโดนัทเค้ก จะใช้ผงฟูในการหมักแป้งให้ขึ้นฟู ดังนั้นรสชาติ และเนื้อสัมผัสจะมีความแตกต่างกัน เนื่องจากโดนัทเป็นเพียงแป้งทอดธรรมดา ไม่มีรสชาติ ผู้ผลิตจึงได้เพิ่มสิ่งต่างๆลงไป เพื่อให้โดนัทมีรสชาติที่ดีขึ้น อาทิ สอดไส้ คลุกน้ำตาล เคลือบหน้าโดนัทด้วยสีสรรต่างๆ

ปัจจุบันโดนัทเป็นที่นิยมอย่างมาก โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น สามารถหาซื้อได้ตั้งแต่บนห้างสรรพสินค้าจนถึงตลาดนัด ราคาขายแตกต่างกันไปตามแต่ละสถานที่

ขนมโดนัทซึ่งเป็นขนมพื้นเมืองของเนเธอแลนด์ แต่เดิมไม่มีรูตรงกลาง แต่เป็นแป้งทอดมีรสหวาน บางครั้งโรยน้ำตาลด้วย มีชื่อภาษาดัตช์ที่แปลเป็นไทยได้ว่า ขนมน้ำมัน (oil cake) ชาวยุโรปที่อพยพไปสหรัฐอเมริกาในต้นศตวรรษที่17 ได้นำขนมประเภทนี้ไปด้วยเนื่องจากขนมนี้มีรูปร่างกลมเล็กเท่าลูกวอลนัท ชาวนิวอิงแลนด์จึงเรียกขนมนี้ใหม่ว่า โด ซึ่งแปลว่า ก้อนแป้งรูตรงกลาง




โดนัทเพิ่งเกิดขึ้นในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 19เมื่อนาย แฮนสัน เกรกอรี กัปตันเรือชาวเมืองรอคพอท รัฐเมน เจาะรูแป้งโดนัทที่มารดากำลังจะทอด เพราะคิดว่าการขยายพื้นผิวหน้าของขนม จะทำให้ทอดได้ง่ายขึ้นและสุกเร็วขึ้น เพราะแต่เดิมนั้น ตรงกลางของโดนัทมักจะแฉะสุกไม่ทั่ว เมืองรอคพอทมีความภาคภูมิใจในรูของโดนัทมาก ถึงกับสร้างป้ายทองแดงจารึกเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ครั้งนี้เอาไว้

เคล็ด(ไม่)ลับ เลือกเสื้อผ้าให้เหมาะกับสีผิว



ผิวขาวอมชมพู เป็นสีผิวที่ใครๆ ก็อยากได้เพราะสีผิวนี้ให้ความรู้สึกว่าเจ้าของผิวเป็นคนที่มีสุขภาพดี ดังนั้นโทนสีของเสื้อผ้าที่เหมาะสม คือ สีอ่อนๆ สดใส เช่น ฟ้าอมเขียว ฟ้าอ่อน โกโก้ ชมพูอ่อน ส้ม เป็นต้น
ผิวขาวอมเหลือง เป็นความโชคดีของคนที่มีสีผิวนี้ที่เหมือนกับสีผิวขาวอมชมพู เพราะสามารถเลือกใส่โทนสีของเสื้อผ้าสีอะไรก็ได้ ทั้งแดง ดำ ชมพู ฟ้า เรียกว่ามีสีอะไรก็ใส่ได้หมดเลย
ผิวขาวซีด เป็นสีผิวที่ดูขาวมากจนทำให้ใครๆ คิดว่าสุขภาพไม่แข็งแรง ดังนั้นโทนสีที่เหมาะสมควรเป็นสีที่ค่อนข้างเข้มสักนิด เช่น แดงเข้ม เหลืองอมน้ำตาล เขียวเข้ม น้ำตาลไหม้ เป็นต้น เพราะสีเข้มเหล่านี้จะช่วยขับสีผิวให้ดูเข้มขึ้น
เคล็ด(ไม่)ลับ เลือกเสื้อผ้าให้เหมาะกับสีผิว
ผิวสองสี หรือผิวสีน้ำผึ้ง เป็นสีผิวที่ดูแล้วมีเสน่ห์ ซึ่งโทนสีที่เหมาะสมกับสีผิวนี้ คือ สีที่ค่อนข้างอ่อน โดยเฉพาะสีผสมต่างๆ เช่น น้ำตาลอมแดง เขียวอมฟ้า ชมพูอมส้ม เลือดนก เป็นต้น
ผิวคล้ำ ควรเลือกโทนสีที่ไม่อ่อนและสดจนเกินไป แต่ควรเลือกโทนสีเข้ม เช่นกรมท่า น้ำตาลเข้ม ม่วง เทา เขียวเข้ม เพราะสีของเสื้อผ้าเหล่านี้จะทำให้ดูกลมกลืนไปกับสีผิว และยังจะทำให้สีผิวดูขาวขึ้นกว่าเดิมด้วย

เคล็ดลับทำรายงานง่ายนิดเดียว

>>> หัวข้อเรื่อง
ตามปกติแล้วโดยทั่วไปอาจารย์จะกำหนดให้ แต่ถ้าหากน้องๆ มีโอกาสเลือกเองล่ะก็ น้องๆ ควรเลือกเรื่องที่สนใจ มีขอบเขตเนื้อหาไม่กว้างหรือแคบเกินไป และประเมินแล้วว่าตัวเองมีความสามารถในการหาแหล่งข้อมูลให้ค้นคว้าอย่างเพียงพอ วิธีนี้จะช่วยให้การทำรายงานสนุกและได้ความรู้เพิ่มขึ้นค่ะ >>> ค้นคว้าข้อมูลจากหลายๆ แหล่ง ข้อนี้ถือว่าเป็นจุดที่สำคัญมากนะคะ เพราะในการทำรายงานนั้น หากเรามีแหล่งที่มาของข้อมูลที่หลากหลายและมีความน่าเชื่อถือ เช่น หนังสือ อินเตอร์เน็ต จำทำให้น้องๆ ได้ความละเอียด แม่นยำ หลากหลาย และทันสมัยมากยิ่งขึ้น สำหรับการค้นจากหนังสือซึ่งเป็นวิธีพื้นฐานนั้น น้องๆ จะดูจากหนังสืออ้างอิง โดยศึกษาศัพท์เฉพาะไว้เป็นพื้นฐานของเรื่องที่จะทำ รวมทั้งดรรชนีวารสาร ซึ่งจะใช้ค้นบทความจากวารสาร
>>> เรียบเรียงข้อมูล น้องๆ ควรวางโครงเรื่องให้เป็นหมวดหมู่ตามลำดับ แบ่งเนื้อหาเป็นบท จากหัวข้อใหญ่ที่มีความสำคัญมาก ตามด้วยหัวข้อย่อยที่มีความสำคัญรองลงมา จากนั้นเขียนอย่างเป็นระบบ เพื่อความสะดวกในการทำความเข้าใจ
>>> ทำบรรณานุกรม เป็นสิ่งที่น้องๆ ควรทำเพราะจะเป็นสิ่งที่ยืนยันถึงความหน้าเชื่อถือของที่มาของข้อมูล และเป็นการอ้างอิงแหล่งข้อมูลที่ใช้ค้นคว้า เพื่อความสมบูรณ์ของเนื้อหารายงาน
>>> ชื่อเรื่อง เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยก็มาปิดท้ายด้วย 'ชื่อเรื่อง' ซึ่งควรตั้งให้กะทัดรัด ครอบคลุมเนื้อหา และวัตถุประสงค์ของรายงานที่ทำค่ะ

เคล็ดลับทำรายงานง่ายนิดเดียว
และนอกจากการเตรียมตัวในเรื่องของการทำรายงานแล้ว ในการนำเสนอหน้าชั้นก็สำคัญมากเช่นกันนะคะ น้องๆ dek-d.com ควรจำไว้ว่า ก่อนนำเสนอรายงานน้องๆ จะต้องทำความเข้าใจในเนื้อหาก่อน โดยอาจจดหัวข้อสำคัญไว้ดูเผื่อลืม รวมทั้งฝึกซ้อมพูดก่อนนำเสนอจริง เพื่อความพร้อมและความสมบูรณ์ของงานค่ะ

กินผักผลไม้อย่างไรให้ได้ 5 ส่วนต่อวัน

การกินผักผลไม้ให้ได้ห้าส่วนต่อวันนั้นมีด้วยกันหลากหลายวิธีนะคะ เช่น การเติมผักลงในซุปหรือแกงจืด การเพิ่มผักหรือผลไม้ตามฤดูกาลเป็นเครื่องเคียง หรือเลือกอาหารที่เน้นแนวมังสวิรัติมากขึ้น แต่ทั้งนี้การวัดขนาดคร่าวๆ ของผักผลไม้ที่เหมาะกับความต้องการของร่างกายเรานั้น ทำได้ง่ายมาก โดยต่อไปนี้คือการนับผักและผลไม้เป็นหนึ่งส่วน มาดูกันเลยค่ะ...
กินผักผลไม้อย่างไรให้ได้ 5 ส่วนต่อวัน
* น้ำผักหรือน้ำผลไม้คั้น 1 แก้วขนาดกลาง (ไม่ว่าน้องๆ ชาว Dek-D.com จะดื่มมากหรือน้อยแค่ไหนก็ตาม ก็จะนับเป็นหนึ่งส่วนต่อวันเท่านั้นค่ะ)
* ผลไม้หนึ่งชิ้นขนาดกลาง เช่น แอปเปิ้ล ส้ม สาลี่ หรือกล้วย
* ผลไม้ลูกเล็ก 2 ลูก เช่น ลูกพลัม ส้ม
* ผลไม้ลูกจิ๋ว 1 กำมือ เช่น เชอรี่ องุ่น หรือลูกเบอร์รี่ต่างๆ
* ผลไม้แห้ง 3 ชิ้น เช่น แอปริคอต (นับเป็นหนึ่งส่วนต่อวัน)
* ผักหรือผลไม้กระป๋อง 6 ช้อนโต๊ะ
* ผักที่ปรุงสุกแล้ว 3 ช้อนโต๊ะ
* สลัดผักหรือผลไม้ 1 ชามเล็ก
* เมล็ดถั่วต่างๆ ปรุงสุก 1/2 ถ้วยตวง หรือราว 1 กำมือ


น้ำเก๊กฮวย
เก๊กฮวย เป็นไม้ดอกตระกูลเดียวกับทานตะวัน ปลูกมากทางภาคเหนือ เป็นไม้ล้มลุก ลำต้นตรง ลักษณะใบเป็นรูปใข่ ปลายใบแหลม ขอบเว้า ออกดอกเป็นกระจุก ดอกสีเหลืองขนาดเล็ก นำมาตากแห้งเก็บไว้ได้นาน

"เก็กฮวย"ช่วยแก้ปวดหัวได้
คราวน้พี่นัทจะมาบอกวิธีทำน้ำเก็กฮวยแบบง๊าย...ง่ายมาฝากจ้า
ใช้ดอกเก๊กฮวยแห้ง มาล้างให้สะอาด เติมน้ำลงในหม้อต้ม ใส่เก๊กฮวยลงในหม้อ ต้ม 2 นาที จนน้ำที่ต้มเป็นสีเหลือง แล้วนำมากรอง เอากากออก เติมน้ำตาลลงไป ต้มจนน้ำตาลละลาย จะได้น้ำเก๊กฮวยที่มีรสชาติหวานหอมชื่นใจ แถมเจ้าเก๊กฮวยประโยชน์และคุณค่าทางสมุนไพรแบบที่เราอาจคาดไม่ถึงด้วยนะเนี่ย- เก๊กฮวยพันธุ์เบญจมาศหนู มีน้ำมันหอมมระเหย มีรสขม- ดอก เป็นยาระงับอาการปวดศีรษะ ไข้หวัด ขับลมในลำไส้ บำรุงประสาท- ดอกและใบ ต้มละลายนิ่ว- ใบและต้นใช้รักษาโรคผิวหนังได้- เก๊กฮวยพันธุ์เบญจมาศสวน มีน้ำมันหอมมระเหย มีสารฝาดสมาน- ดอก ช่วยย่อยและเจริญอาหาร เป็นยาระบาย แก้กระหายน้ำ แก้อาการร้อนใน- ใบ แก้ปวดศีรษะ- ต้น ผสมกับพริกไทยดำรักษาโรคโกโนเรียย ถ้าสกัดเอาน้ำจากต้นสด ช่วยลดอาการอักเสบ
"เก็กฮวย"ช่วยแก้ปวดหัวได้


ความลับของ "โยเกิร์ต" ที่รอการเปิดเผย





“โยเกิร์ต" เป็นอาหารที่น้องๆ ชาว Dek-D.Com หลายคนชอบกินและนำมาใช้ประโยชน์ในเรื่องความสวยความงามกันใช่ไหมจ๊ะ แล้วรู้กันรึเปล่าว่าอาหารชนิดนี้มีความลับหลายอย่างซ่อนอยู่ ชนิดที่ว่าน้องๆ อาจจะไม่เคยรู้มาก่อนเลย.....
ความลับของ "โยเกิร์ต" ที่รอการเปิดเผย
ท้องเสีย!! ในโยเกิร์ตนั้นมีเชื้อจุลินทรีย์ที่ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เราเกิดอาการท้องเสียได้ ดังนั้นการกินในเวลาที่ท้องเสียนั้นจึงสามารถทำให้หยุดถ่ายหรือถ่ายน้อยลง
โรคหัวใจ!! "คอนจูเกตเต็ดไลโนเลอิก" เป็นไขมันที่มีอยู่ในโยเกิร์ต ที่ช่วยป้องกันโรคหัวใจ
มีสารอาหารถึง 11 ชนิด!! การกินโยเกิร์ตเป็นประจำจะทำให้อายุยืนและแข็งแรงได้ นอกจากนี้ในโยเกิร์ตไขมันต่ำ 1 ถ้วย ยังมีสารอาหารมากมาย อาทิ ไอโอดีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินบี 2 โปรตีน วิตามินบี 12 ทริปโทฟาน โพแทสเซียม โมลิปเดนัม สังกะสี และวิตามินบี 5 อีกด้วย
แคลเซียมสูง!! กรดแลกติกที่อยู่ในในโยเกิร์ตจะช่วยย่อยแคลเซียมให้เล็กลง ทำให้ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้ และนอกจากนี้อาหารชนิดนี้ยังมีโปรตีนและแคลเซียมมากกว่านมธรรมดาอีกด้วย
แลคโตบาสิลัส!! เป็นจุลินทรีย์ที่ร่างกายของเราต้องการ เพราะมันจะเข้าไปช่วยหยุดการเจริญเติบโตของเชื้อ "เฮลิโคแบคเตอร์ เอชไพโลไร" ที่จะทำให้เป็นโรคกระเพาะ ลดการอักแสบของลำไส้และไขข้อได้
ความลับของ "โยเกิร์ต" ที่รอการเปิดเผย
รอบเดือน!! ในช่วงเวลาที่น้องๆ เป็นวันนั้นของเดือนควรที่จะกินโยเกิร์ตเป็นประจำนะจ๊ะ และจุลินทรีย์ที่มีอยู่ในอาหารชนิดนี้ยังช่วยป้องกันการเป็นโรคมะเร็งปากมดลูกได้
ป้องกันโรคภัย!! เนื่องจากเป้นอาหารที่มีแคลเซียมสูง จึงทำให้ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน , ความดันโลหิตสูง , มะเร็งลำไส้ และเป็นตัวกระตุ้นระบบเผาผลาญที่จะทำให้น้องๆ มีหุ่นที่ผอมเพรียว
ลดกลิ่นปาก!! การกินโยเกิร์ตเป็นการช่วยทำความสะอาดปาก และช่วยลดกลิ่นปากรวมถึงโรคเหงือกอีกด้วย
เพิ่มภูมิต้านทาน!! แบคทีเรียในโยเกิร์ตทำให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามินเคและบีในลำไส้ได้ดีขึ้น

เพื่อนแท้...คุณเคยมีหรือเปล่า




















ข - เ ข้ า ใ จ เ ร า
ค - ค อ ย เ ป็ น กำ ลั ง ใ จ ใ ห้ เ ร า
ง - ง้ อ เ ร า เ มื่ อ รู้ ตั ว ว่ า เ ข า ผิ ด
จ - จั บ มื อ เ ร า เ มื่ อ ต้ อ ง ก า ร กำ ลั ง ใ จ
ฉ - เ ฉ ย กั บ ค ว า ม ใ จ ร้ อ น ข อ ง เ ร า
ช - ช่ ว ย เ ห ลื อ เ ร า
ซ - ซื่ อ สั ต ย์ กั บ เ ร า ญ า ติ ดี กั บ เ ร า เ ส ม อ
ด - เ ดิ น เ คี ย ง ข้ า ง เ ร า
ต - ติ ด ต า ม ข่ า ว ค ร า ว ค ว า ม เ ป็ น ไ ป ข อ ง เ ร า
ถ - ไ ถ่ ถ า ม ทุ ก ข์ สุ ข
ท - ทำ ใ ห้ ชี วิ ต ข อ ง เ ร า เ ป ลี่ ย น ไ ป
ธ - ธั ม ม ะ ธั ม โ ม กั บ เ ร า
น - นั บ ถื อ เ ร า แ ล ะ น่ า รั ก ใ น ส า ย ต า ข อ ง เ ร า
บ - บ อ ก ค ว า ม จ ริ ง แ ก่ เ ร า
ป - ป ล อ บ ใ จ เ มื่ อ เ ร า ท้ อ
ผ - ผ า ย มื อ ต้ อ น รั บ เ ร า เ ส ม อ
ฝ - ฝ า ก ค ว า ม จ ริ ง ใ จ ไ ว้ กั บ เ ร า
พ - เ พิ่ ม พ ลั ง ใ ห้ แ ก่ เ ร า
ฟ - ฟั ง เ ร า เ ส ม อ
ภ - ภู มิ ใ จ ใ น ตั ว เ ร า
ม - ม อ บ สิ่ ง ดี ดี แ ก่ เ ร า
ย - ย ก โ ท ษ ใ ห้ กั บ ข้ อ ผิ ด พ ล า ด ข อ ง เ ร า
ร - รั ก ที่ เ ร า เ ป็ น เ ร า
ล - ล ะ เ อี ย ด อ่ อ น กั บ ค ว า ม รู้ สึ ก ข อ ง เ ร า
ว - ไ ว้ ใ จ เ ร า
ศ - ศึ ก ษ า นิ สั ย ที่ แ ท้ จ ริ ง ข อ ง เ ร า
ส - สั ง เ ก ต ค ว า ม เ ป ลี่ ย น แ ป ล ง ใ น ตั ว เ ร า
ห - เ ห็ น คุ ณ ค่ า ข อ ง เ ร า
อ - อ ธิ บ า ย ใ น สิ่ ง ที่ เ ร า ไ ม่ เ ข้ า ใ จ
ฮ - เ ฮ ฮ า กั บ เ ร า ไ ด้ ทุ ก เ ว ล า ...
* ....มองในมุมเพื่อน
ความหมายดีจริงนะ............

ใช้ "มือถือ" และ "หูฟัง" มากเกินไปอาจจะ....

มือถือ >> การคุยโทรศัพท์มือถือติดต่อกันเป็นเวลานาน ทำให้ติดเชื้อโรคต่างๆ ได้ง่าย เพราะความร้อนจากโทรศัพท์จะเข้าไปอยู่ในหู ทำให้เกิดอาการคัน ซึ่งเมื่อน้องๆ แคะ หรือเกาแล้วจะทำให้ผิวหนังเป็นแผล ดังนั้นเชื้อโรคต่างๆ จึงสามารถเข้าสู่แผลได้ง่ายขึ้น ทำให้ช่องหูเป็นสิวหรืออักแสบได้ นอกจากนี้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากโทรศัพท์ยังเป็นตัวการทำลายเส้นประสาทในรูหู และเซลล์สมองอีกด้วย ทำให้เป็นเนื้องอกขึ้นมาได้
วิธีป้องกัน
ถ้าน้องๆ รู้ตัวว่าเป็นขาเม้าท์ชอบคุยโทรศัพท์เป็นเวลานานๆ ล่ะก็ พี่ปัดขอแนะนำให้ใช้สมอลล์ทอล์ค หรือบูลทูธแทน เพราะจะช่วยป้องกันคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้
นำสำลีจุ่มแอลกอฮอล์เช็ดทำความสะอาดโทรศัพท์มือถือวันละ 2 ครั้ง เพื่อเป็นการฆ่าเชื้อโรค
ใช้ "มือถือ" และ "หูฟัง" มากเกินไปอาจจะ....
หูฟัง >> การใช้ฟังเพลงติดต่อเป็นเวลานาน ทำให้เกิดความดันของคลื่นเสียง ซึ่งจะทำลายเซลล์ประสาทหูและเซลล์ขนในหู แต่ถ้าได้ยินเสียงเหมือนแมงหวี่ร้อง หรือเสียงวิทยุจูนผิดคลื่นตลอดเวลาล่ะก็ แสดงว่าน้องๆ มีอาการประสาทรับเสียงเสียงเสื่อมนะ นอกจากนี้หูฟังที่ใช้ฟังเพลงนั้น น้องๆ รู้กันรึเปล่าจ๊ะว่าเป็นแหล่งสะสมเชื้อแบคทีเรียและเชื้อโรค ซึ่งจะทำให้เป็นโรคหนองในหู และการอักแสบในช่องหูได้
วิธีป้องกัน
น้องๆ ควรที่จะเปิดเสียงในเครื่องเล่นเอ็มพี 3ให้มีระดับความดังเพียงแค่ครึ่งเดียวของระดับเสียงที่เครื่องมีอยู่นะจ๊ะ
เลือกฟังเพลงในช่วงเวลาที่ต้องการเท่านั้น เพื่อเป็นการช่วยหยุดพักการทำงานของหู
หลีกเลี่ยงการใช้หูฟังร่วมกับผู้อื่น เพราะอาจจะทำให้ติดเชื้อโรคได้ ควรที่จะเปลี่ยนฟองน้ำและทำความสะอาดหูฟังเป็นประจำ
ใช้ "มือถือ" และ "หูฟัง" มากเกินไปอาจจะ....
อากาศ >> ฝุ่นละอองและควันรถทำให้เป็นโรคในระบบทางเดินหายใจได้ ดังนั้นคนที่เป็นโรคภูมิแพ้และเป็นหวัดบ่อย จึงต้องระมัดระวังไม่ปล่อยให้ลุกลานจนเกิดอากาศอักแสบหลังโพรงจมูกและคอ เพราะถ้าเป็นแล้วล่ะก็เชื้อโรคจะเดินทางมาที่หูทำให้เป็นโรคหูน้ำหนวกได้
วิธีป้องกัน
น้องๆ จะต้องรักษาสุขภาพของตัวเองให้แข็งแรง เพื่อป้องกันการเป็นโรคภูมิแพ้และเป็นหวัด
หากเป็นหวัดต้องคอยสังเกตตัวเองว่ามีของเหลงลักษณะเหมือนเลือดผสมหนองไหลออกมาจากรูหูรึเปล่า และถ้ามีอาการปวดหูด้วยล่ะก็ น้องๆ จะต้องรีบไปหาหมอโดยด่วน เพราะแก้วหูอาจจะอักแสบจนถึงขั้นทะลุแล้วก็ได้นะจ๊ะ

วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2552

สิ่งมหัศจรรย์ใต้ท้องทะเล...แปลกดี!

หมึกดัมโบ้ Dumbo Octopusเป็นปลาน้ำลึก สายพันธุ์Grimpoteuthis ส่วนชื่อ ดัมโบ้ (ชื่อช้างวอล์ทดิสนีย์) นั้นมาจากครีบที่เหมือนใบหูที่อยู่บนหัวเจ้าตัวนี้อยู่ในน้ำลึกตั้งแต่ 100-7000 เมตร และโตเต็มวัย จะมีขนาดประมาณ 20 เซนติเมตรมี ร่างกายอ่อนนุ่ม กึ่งโปรงใส ครีบใหญ่ เคลื่อนที่โดยใช้ครีบ และขยับหนวด (เหมือนปลาหมึก) ดันน้ำเข้าสู่ช่องดูดน้ำ และผลักออกมาเป็นไอพ่น สามารถลอยขึ้นเหนือทะเลได้เล็กน้อย เพื่อล่าเหยื่อจำพวก หอยทาก หนอน ฯลฯ




ถัดมาดูรูปแล้วต้องพร้อมใจกัน ทำปากว่า"บล็อบบบ~~บ"เพราะมันมีชื่ออยู่แล้วว่า ปลาบล็อบ (Blobfish)พบ ในย่านน้ำ ออสเตรเลีย และ แทสมาเนีย ถูกพบในระดับความลึก (800เมตร) ที่มีแรงดันมากกว่าปกติถึง 80 เท่า ทำให้ถุงลม (AKA กระเพาะปลา) ขาดประสิทธิภาพ เนื้อปลาจึงต้องมีความเป็นวุ้น เพื่อให้มีความหนาแน่นน้อยกว่าน้ำเล็กน้อย เพื่อให้สามารถลอยตัวเหนือน้ำทะเลได้ (เนื่องจากสาเหตุนี้นี่เอง มันจึงไม่จำเป็นต้องมีกล้ามเนื้อเพราะใช้พลังงานในการลอยตัวน้อยมาก)




Giant Isopod นึกถึงแมลงตัวยาวใหญ่เท่าไม้บรรทัดได้เลย ตัวนี้หละ ยาว 16 นิ้ว อยู่ีที่ความลึกประมาณ หกร้อยเมตร


นี่ก็ปลาหมึกชนิดหนึ่ง ปลาหมึกโปร่งใส และเรืองแสง


ปลาพญานาค (OarFish) ที่จริงคือปลา ออร์ฟิซ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับตำนานพญานาคใดๆทั้งสิ้น และเป็นปลาทะเล อยู่ในออร์เดอร์ (Order) Lampriformes อยู่ในแฟมิลี่ (Family) Regalecidae เป็น ปลาน้ำลึก พบได้ในน่านน้ำเขตร้อน ปลาออร์ฟิซเป็นปลาตัวแบนยาว ขนาดใหญ่ มีสีเงิน มีครีบหลังยาวตั้งแต่หัวจรดหาง โดยเฉพาะด้านหน้าจะยาวเป็นพิเศษ ปลาออร์ฟิซ ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่บันทึกไว้ใน Guinness Book of World Records มีความยาวถึง 11 เมตรออร์ฟิซ มาจากความเชื่อทีว่า ปลาถูกแรงดันน้ำอันมหาศาล อัดจนร่างกายแบนยาว (Oar แปลว่า รูปร่างยาว แบนเหมือนแผ่นกระดาน) แต่ปัจจุบันสามารถพิสูจน์แล้วไม่เป็นความจริง และด้วยพฤติกรรม เมื่อใกล้ตายปลาออร์ฟิซ จะขึ้นมาบนผิวน้ำ ทำให้เป็นต้นเหตุของตำนานเกี่ยวกับมังกรทะเลมากมาย



Vampire Squid ปลาหมึกดูดเลือด..เนื่องจากปลา หมึกตัวนี้อยู่ในบริเวณที่ลึกเกินกว่าที่แสงจะส่องถึง (600-900เมตร) เลยให้ความรู้สึกว่า มันคือแวมไพร์ปลาหมึก จริงๆ ด้วย และวิธีการกินเหยื่อก็คงไม่ต้องอธิบายอะไรมาก เพียงแต่ว่า จริงๆแล้วมันไม่ใช่ปลาหมึก ..ทั้งหมึกกล้วย (squid) และหมึก ยักษ์ (octopus) แต่ที่เรียกว่าปลาหมึก ก็เพราะวิธีการเคลื่อนที่ที่คล้ายปลาหมึกนั่นเอง.. เจ้าตัวนี้มีเลือดสีฟ้า เพื่อลำเลียงออกซิเจนได้เร็วขึ้น จึงทำให้อยู่ที่ระดับความลึกนี้ ที่ออกซิเจนเบาบางได้ จนไม่ต้องโผล่ขึ้นไปรับออกซิเจนจากชั้นบนเหมือนตัวอื่นๆ เลย




ตัวนี้คือลูกของปลาวัว ชนิดหนึ่งในเขตน้ำลึก ตัวใสน่ารักมากๆๆๆๆๆ




ตัวนี้ไม่ใช่ทำในโฟโต้ชอบ แต่เป็นของจริง อ้างอิงไปถึง เนชันแนลจีโอกราฟฟิก ปลานี้ชื่อว่า Rosy Llipped Batfishได้ชื่อนี้เพราะปากดูเด่นเป็นสง่า
สามารถรับทำอาชีพเสริมเป็นพรีเซ็นเตอร์ของบริษัทขายลิปสติกได้สบายๆ ฮ่าๆ
สำหรับในปีนี้อันตรายหนึ่งอย่างในหน้าฝนแบบนี้ นอกจากเรื่องความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนแล้ว เรื่องของปรากฏการณ์ธรรมชาติอย่าง "ฟ้าผ่า" ก็เป็นอีกเรื่องนึงที่เราควรระวังไว้เช่นกันนะคะ
... น้องๆ หลายคนพยายามหลีกเลี่ยงการพกสื่อล่อฟ้า เช่น เครื่องประดับที่เป็นโลหะ โทรศัพท์มือถือ ฯลฯ ซึ่งก็ถือว่าเป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง แต่ก็เป็นความเข้าใจที่ถูกต้องแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นนะคะ เพราะในความเป็นจริงแล้ววัตถุที่จะทำให้มนุษย์ถูกฟ้าผ่าได้นั้น คือวัตถุที่อยู่เหนือศีรษะขึ้นไป
โดยเฉพาะสิ่งของเหล่านั้นมีลักษณะปลายแหลม เช่น ร่มที่ด้านปลายบนสุดเป็นเหล็กแหลมซึ่งเป็นตัวล่อให้ฟ้าผ่าได้เป็นอย่างดีหากอยู่ในที่โล่งแจ้ง อย่างการที่ฟ้าผ่ามาบนตึกส่วนใหญ่สังเกตได้ว่า มักผ่าบริเวณส่วนที่เป็นมุมของตึก ซึ่งเสมือนสิ่งที่ล่อฟ้าผ่าได้เป็นอย่างดี ดังนั้นหากน้องๆ อยู่บนตึกสูงไม่ควรขึ้นไปยืนบนดาดฟ้าในเวลาฝนตกเพราะอาจทำให้เกิดอันตรายได้
ส่วนเรื่องของการใช้โทรศัพท์มือถือเวลาที่ฝนตกนั้น ค่อนข้างมีความเป็นไปได้น้อยในการเป็นสื่อล่อฟ้า เนื่องจากมีคลื่นความถี่ต่ำ แต่ผู้ใช้โทรศัพท์มือถือเวลา ฝนตกอาจได้รับอันตรายจากแบตเตอรี่ระเบิด เพราะเมื่อน้ำฝนเข้าไปยังขั้วแบตจะทำให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจร
สิ่งหนึ่งที่ควรระวังเวลาฝนตก นั่นก็คือ การที่ตัวของเราเปียกน้ำ เพราะคนส่วนใหญ่ที่ถูกฟ้าผ่ามักมีร่างกายที่เปียกเพราะการถูกฟ้าผ่าผู้ที่ได้รับอันตรายมีผลเหมือนการถูกไฟฟ้าช็อต ดังนั้นการที่ร่างกายเปียก ก็เป็นอีกตัวกระตุ้นให้กระแสไฟจากฟ้าผ่าคร่าชีวิตได้
>>> ส่วนเรื่องของวิธีป้องกันการถูกฟ้าผ่านั้น สามารถทำได้ง่ายๆ โดย ...
เมื่อเกิดฝนฟ้าคะนองน้องๆ ควรหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้งไม่ว่าจะเป็นกลางสนามหญ้า สนามกีฬา ชายหาด หรือลานกว้าง หลีกเลี่ยงการเข้าไปอยู่ใต้ต้นไม้ เสาไฟฟ้า หรือเสาสูงอื่นๆ รวมทั้งรั้ว กำแพง ที่มีโลหะเป็นส่วนประกอบ
กรณีมีเครื่องใช้-เครื่องประดับที่เป็นสื่อไฟฟ้าติดตัว เช่น สร้อย แหวน กำไล นาฬิกา ฯลฯ ควรถอดเก็บไว้ไกลตัวชั่วคราว และไม่ใช้โทรศัพท์มือถือขณะฝนฟ้าคะนอง หากเป็นไปได้ควรหลบเข้าบ้าน อาคารต่างๆ ยิ่งถ้ามีการติดสายล่อฟ้าก็จะปลอดภัยยิ่งขึ้น
ส่วนสิ่งปลูกสร้างเล็กๆ กลางไร่นาที่โล่งแจ้งหรืออยู่ในพื้นที่ธรรมชาติ เช่น ในป่าเขา ถ้ามีถ้ำหรือหลืบถ้ำก็สามารถใช้เป็นที่หลบภัยชั่วคราวได้ค่ะ และถ้ามีแต่ต้นไม้ก็ควรเลือกหลบใต้ต้นที่ไม่สูงและแผ่ปกคลุมหนาทึบ ควรอยู่ห่างจากโคนต้นไม้ 2-3 เมตร เพื่อป้องกันกระแสไฟมาถึง พยายามทำตัวให้ติดดินที่สุดโดยนอนลง ... วิธีเหล่านี้ก็จะช่วยลดความเสี่ยงได้ระดับหนึ่งค่ะ
ยังไงซะหน้าฝนนี้น้องๆ ก็ต้องดูแลความปลอดภัยของตัวเองด้วยนะคะ ... อย่าปล่อยให้ตัวเปียกฝน และที่สำคัญห้ามลืมพกร่มโดยเด็ดขาดเลยนะจ๊ะ

9 วิธีฝึกสมองให้คิดสร้างสรรค์


ดื่มน้ำให้บ่อยๆ โดยอาจจะใช้วิธีการจิบครั้งละนิดๆ ก็ได้จ้ะ เพราะในสมองของเรานั้นมีน้ำเป็นส่วนประกอบถึง 85 % ของเซลล์สมอง ดังนั้นถ้าร่างกายของเราขาดน้ำ ก็จะส่งผลให้สมองของเราคิดสิ่งต่างๆ ช้าหรือคิดไม่ออกเลย
กินไขมันดีหรือโอเมก้า 3 สมองน้อยๆ ของเรานั้นก็คือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นที่จะต้องได้รับไขมันดีเข้าไปเพื่อเป็นการช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ อาหารที่มีไขมันดีอยู่นั้น ก็เช่น ปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง น้ำมันปลา เป็นต้น
นั่งสมาธิ อย่างที่น้องๆ ทราบกันอยู่แล้วว่าการนั่งสมาธิจะทำให้เราเกิดสติในการคิดสิ่งต่างๆ และรู้สึกผ่อนคลายได้ ดังนั้นในแต่ละวันเราควรที่จะหาเวลานั่งสมาธิบ้าง แม้จะเพียงแค่ 10 นาทีเท่านั้นเราสามารถนั่งสมาธิได้
ตั้งใจทำจริงๆ เพราะถ้าตั้งใจที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วก็ควรที่จะตั้งใจทำอย่างสุดความสามารถให้ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ให้ได้ เพราะการตั้งใจทำถือว่าเป็นฝึกสมองอีกรูุปแบบหนึ่ง
หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ เพราะเวลาที่เราทำ 2 สิ่งนี้ สารเอ็นโดรฟินก็จะถูกหลั่งออกมา สารนี้จะทำให้เรารู้สึกมีความสุข คิดและทำสิ่งดีๆ ออกมา
เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นการกินข้าวในร้านอาหารที่ไม่เคยกิน อ่านหนังสือเล่มใหม่ ฯลฯ เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ จะทำให้สารเอ็นโดรฟิน และโดปามีน หลั่งออกมา สารทั้ง 2 ตัวนี้จะไปกระตุ้นให้สมองอยากเรียนรู้ และสร้างสรรค์ในเรื่องต่างๆ นอกจากนี้ยังจะทำให้มีความสุขอีกด้วย
ให้อภัย เพราะถ้าเรารู้สึกโมโห โกรธ สองของเราก็จะเครียดตามไปด้วย ดังนั้นเราควรที่จะรู้จักให้อภัยคนอื่น และให้อภัยตัวเองเพื่อสมองน้อยๆ ของเรา
เขียนบันทึกเรื่องราวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีๆ หรือเรื่องที่เราเจอมาในแต่ละวันลงไปในไดอารี่ เช่น วันนี้ได้เจอเพื่อนใหม่ , ขอบคุณพ่อแม่ที่อยู่ข้างๆ ตลอดเวลา เป็นต้น เพราะการเขียนสิ่งดีๆ จะช่วยทำให้เราคิดดีตามไปด้วย และยังเป้นการช่วยฝึกฝนสมองให้คิดทบทวนสิ่งต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาอีกด้วย
ฝึกหายใจเข้าลึกๆ เพราะสมองน้อยๆ ของเรานั้นมีออกซิเจนอยู่ด้วย ดังนั้นถ้าเราหายใจเข้าลึกๆ ก็จะเป็นช่วยการส่งพลังงานไปยังสมอง และหากเรานั่งทำงานเป็นเวลานานๆ ก็ควรที่จะลุกขึ้นมาเดินยืดเส้นยืดสายบ้าง เพราะสามารถทำให้ให้ปอดขยายใหญ่และรับออกซิเจนได้มากขึ้น 20%

"สี" เพิ่มความมั่นใจได้!!



สีฟ้า ถ้าอยากรู้สึกสงบและผ่อนคลายล่ะก็ พี่ปัดแนะนำให้ใส่เสื้อผ้าสีนี้เลยจ้ะ เพราะเวลาที่เห็นสีฟ้าเราจะนึกถึงท้องฟ้าที่ดูเป็นอิสระ นอกจากนี้สีนี้ยังทำให้เรารู้สึกปลอดโปร่งและสดชื่นขึ้นมาอีกด้วย
สีขาว เป็นสีที่ดูบริสุทธิ์ สะอาด และหากน้องๆ ใส่เสื้อผ้าสีนี้ไปพูดคุยต่อรองกับใครแล้วล่ะก็จะทำให้เกิดความน่าเชื่อถือ เพราะสีนี้จะทำให้ดูเป็นคนที่มีความเอาใจใส่ทุกรายละเอียด รอบคอบ และเอาจริงเอาจัง
สีแดง สีแห่งความร้อนแรง ใส่แล้วดูมั่นใจสุดๆ เพราะว่าสีนี้จะช่วยให้เราคิดหาไอเดียสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ออกมาได้อย่างมากมาย
สีชมพู สีแห่งความอ่อนหวานโรแมนติก ถ้าเราสวมใส่เสื้อผ้าสีนี้จะสร้างความอบอุ่น น่าทะนุถนอม และช่วยให้อารมณ์โกรธของคนรู้ใจหายเร็วขึ้นอีกด้วย
สีน้ำตาล ถ้าน้องๆ จะต้องเดินทางไปต่างจังหวัดแล้วรู้สึกกลัว กังวลเรื่องความปลอดภัยล่ะก็ พี่ปัดแนะนำให้ใส่สีนี้เลยจ้ะ เพราะสีนี้เป็นสีที่เหมือนกับดินที่ทำให้เรารู้สึกอบอุ่นใจ และช่วยลดความกลัวลงไปได้ด้วย
สีเหลือง เวลาพี่ปัดเห็นสีนี้จะนึกถึงทุ่งดอกทานตะวัน และรู้กันหรือไม่ว่าสีนี้จะช่วยเสริมบุคลิกให้ดูน่าเชื่อถือ น่าไว้วางใจ ฉะนั้นจึงเหมาะกับการใส่ไปพบกับผู้ใหญ่หรือไปติดต่อคุยในเรื่องหน้าที่การงาน
สีเขียว สีแห่งธรรมชาติ ที่ทำให้ผู้พบเห็นนึกถึงป่าไม้ที่เขียวชอุ่ม และทำให้ผู้สวมใส่มีสมาธิ เพิ่มพลังความตั้งใจ และไขว่คว้าในการแสวงหาความรู้ใหม่ๆ ให้กับตัวเอง
สีม่วง สีที่สะท้อนความเคร่งขรึม ลึกลับ แต่มีเสน่ห์ชวนค้นหา เป็นสีที่เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณ ความลี้ลับ และความสำเร็จ ถ้าอยากให้เรื่องที่หวังหรือตั้งใจไว้เป็นจริงล่ะก็ ต้องหาเสื้อผ้าสีนี้มาสวมใส่นะจ๊ะ เพราะความสำเร็จจะมารออยู่ข้างหน้าเลยจ้ะ
สีดำ สีของอำนาจและพลัง ให้ความรู้สึกว่าผู้สวมใส่แข็งแกร่ง เตรียมพร้อมรับสิ่งต่างๆ ที่จะเข้ามาในชีวิตได้เสมอ
ดังนั้นถ้าวันไหนน้องๆ ชาว Dek-D.Com รู้สึกว่าตัวเองไม่มั่นใจในเรื่องต่างๆ ล่ะก็ ขอแนะนำให้ลองนำสิ่งที่พี่ปัดเอามาฝากในวันนี้ไปลองใช้กันดูนะจ๊ะ รับรองว่าจะเรียกความมั่นใจกลับมาทันทีเลยจ้ะ ว่าแต่ตอนนี้น้องๆ มาช่วยพี่ปัดคิดกันดีกว่าว่าพรุ่งนี้พี่ปัดจะใส่เสื้อผ้าสีอะไรดี

ภาษากายสื่อความหมายถึง....

เวลาที่เพื่อนๆ รู้สึกเศร้าเสียใจในเรื่องต่างๆ น้องๆ ชาว Dek-D.Com มีวิธีปลอบใจเพื่อนให้คลายเศร้ายังไงบ้างจ๊ะ ส่วนใหญ่พี่ปัดจะใช้วิธีเข้าไปพูดให้กำลังใจจ้ะ แต่ว่าวันนี้พี่ปัดมีวิธีใหม่มาแนะนำโดยใช้ "ภาษากายสื่อความรักความห่วงใย"
กอด สื่อความหมายถึง "ไม่ว่ายังไง ฉันก็จะอยู่เคียงข้างเธอเสมอ" เวลาที่เพื่อนรู้สึกท้อแท้สิ้นหวังการที่ได้รับอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นจากพ่อแม่ พี่น้อง และเพื่อนสนิทอย่างเราก็สามารถที่จะทำให้เขารู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมาได้ และมีแรงพลังในการลุกขึ้นมาสู้ต่อไป
แตะไหล่ สื่อความหมายถึง "เราเข้าใจเธอ รู้ว่าเธอคิดยังไง" การที่มีใครสักคนมาแตะไหล่เพื่อนในเวลาในเศร้าเสียใจ แม้ว่าคนที่เดินเข้ามาแตะไหล่จะเดินไปไกลแล้วก็ตาม แต่เขาก็ยังรู้สึกถึงความรักความห่วงใยที่มีให้เขา
จับมือ สื่อความหมายถึง "สู้ๆ เข้มแข็งไว้นะ" ถ้าเราเดินเข้าไปจับมือเพื่อนในเวลาเศร้าเสียใจแล้วล่ะก็สามารถทำให้เขายิ้มและลุกขึ้นมาเข้มแข็งได้เหมือนเดิม
ตบหลังเบาๆ สื่อความหมายถึง "เดี๋ยวทุกอย่างก็ดีขึ้นเอง" เวลาที่เพื่อนร้องไห้เสียใจเราก็ควรที่จะเข้าไปลูบหลังเบาๆ เท่านี้เขาก็จะรู้สึกดีขึ้นมาแล้วจ้ะ ถึงแม้เรื่องที่เขาเสียใจนั้นอาจจะต้องใช้เวลาสักนิดกว่าที่จะลืมมันได้ก็ตาม
พยักหน้าเวลาเห็นเพื่อนร้องไห้ สื่อความหมายถึง "ร้องไห้เถอะ ถ้ามันจะทำให้เธอรู้สึกดีขึ้น" การร้องไห้ถือได้ว่าการระบายความรู้สึกที่อยู่ภายในออกมา วิธีนี้จะทำให้เพื่อนของเรารู้สึกได้ปลดปล่อยสิ่งต่างๆ ดังนั้นถ้าเขาร้องไห้ล่ะก็เราควรที่จะอยู่เคียงข้างคอยปลอบใจเขาด้วยนะจ๊ะ
ยื่นดอกไม้ให้สักดอก สื่อความหมายถึง " เราเป็นกำลังใจให้เธอนะ" เวลาที่เราเห็นดอกไม้นั้นเราจะรู้สึกถึงความสดชื่นและสดใสใช่ไหมจ๊ะ ดังนั้นในช่วงเวลาเศร้าเสียใจแบบนี้เพื่อนของเราก็ต้องการของที่สดชื่น สดใสเช่นเดียวกันจ้ะ
ในช่วงเวลาที่รู้สึกเศร้าเสียใจที่สุดการที่เราได้รับอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นจากคนในครอบครัว มีเพื่อนจับมือเวลาที่ร้องไห้ ก็สามารถทำให้เรามีกำลังใจและรู้สึกเข้มแข็งขึ้นมาได้เช่นกัน ดังนั้นภาษากายจึงสามารถถ่ายทอดและสื่อถึงความรักความห่วงใยได้เช่นกัน

การกินยาที่ผิดวิธี

การบดยาที่เป็นเม็ด หรือ แกะแคปซูลบรรจุยา เพื่อที่ 'อยากจะกินกลืนยาทั้งเม็ด ไม่อยากเหลือไว้ให้ใครได้กลิ่น' แต่น้องๆ รู้ไหม ? เป็นการกระทำที่ผิด เพราะมันจะก่อเกิดผลเสียตามมา ผู้เชี่ยวชาญของประเทศอังกฤษได้เตือนว่า การที่เราพยายามบดยาเม็ดให้รับประทานได้ง่ายขึ้น เช่นให้กับเด็ก หรือ ผู้สูงอายุ จะทำให้สารเคลือบเม็ด ที่มีผลต่อการปล่อยยาในร่างกาย ถูกทำลาย!! ทำให้เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย

ซึ่งผู้สูงอายุในประเทศอังกฤษ 60% ในอังกฤษมีปัญหาเรื่องการกลืนยา และพยาบาลถึง 80% ใช้วิธีบดยา เพื่อให้รับประทานได้ง่ายขึ้น โดยในแต่ละปี มียาที่สั่งจ่ายโดยแพทย์และเกิดผลข้างเคียงถึง 75 ล้านชุด

ยาที่ไม่ควรบดได้แก่ ทามอกซิเฟน มอร์ฟีน และไนเฟดิพีน ผู้เชี่ยวชาญยังเตือนด้วยว่า แพทย์หรือพยาบาลอาจถูกดำเนินคดี หากประมาทเลินเล่อ ด้วยการแนะนำให้ผู้ป่วยบดเม็ดยาหรือแกะแคปซูลที่หุ้มยาไว้ ซึ่งในประเทศไทยยังไม่มีข้อกำหนดเรื่องดำเนินคดีระวังความหวังดีของเรา จะกลายเป็นผลร้ายต่อผู้ป่วยนะครับ

ไม่อยาก"ดำ" เลือกครีมกันแดดอย่างถูกวิธี

เพราะความกลัวแดดจะแผดผิว ให้ดำจนเกินงามตาม ที่โฆษณาต่างส่งเสียงกันมา เลยทำให้สาวๆ น้อยใหญ่ต้องหันหน้า เข้าหาครีมกันแดดกันสักครั้ง

แต่...จะเลือกแบบไหนดีนะ ขวดนี้ SPF-15 แต่ขวดโน้น SPF-30 กันน้ำได้ด้วย ลังเลค่ะเวลา ยืนอยู่หน้าชั้นสินค้า จำพวกครีมกันแดด มันละลาน ตาไปหมด ทั้งยี่ห้อ สีสัน และสรรพคุณจากศัพท์แสงที่ไม่คุ้นเคย

ก่อนอื่นเราต้องรู้ว่า SPF หรือเอสพีเอฟ นั้นย่อมาจาก Sun Protection Filter จะเป็นตัวที่บ่งบอกถึงประสิทธิภาพในการกรองรังสีดวงอาทิตย์ ยิ่งค่าเอสพีเอฟสูงก็ยิ่งกรองรังสีได้มาก


การจะใช้ครีมที่มีค่าเอสพีเอฟสูงมากหรือน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้ชีวิตของเราด้วย หากเป็นคนที่ออกทำงานแต่เช้ากลับบ้านค่ำมืด โอกาสเจอแสงอาทิตย์ ไม่ค่อยมี ก็แทบไม่ต้องใช้ครีมกันแดดเลย หรือถ้าจะใช้ก็ควรเป็นค่าระดับที่อ่อนมาก จำไว้อย่างหนึ่งว่า สารกรองรังสีดวงอาทิตย์พวกนี้ เป็นสารเคมีที่นักวิทยาศาสตร์สังเคราะห์ขึ้น ควรเลือกใช้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น เพราะยิ่งพอกสารเคมีต่างๆ ไว้บนใบหน้า ก็ย่อมมีทั้งคุณและโทษ

ขั้นต่อมาก็มาดูที่ตัวเลข 30 และ 15 ที่ยกเป็นตัวอย่างนั้นเป็นแค่ส่วนหนึ่งของเอสพีเอฟ ที่มีแสดงกันตามผลิตภัณฑ์ครีมกันแดด ดร.มาร์ติน ไวน์สต็อก ผอ.สมาคมมะเร็งอเมริกา บอกว่า ถ้าหากคุณคิดว่าการตบครีมที่มีเอสพีเอฟ 30 จะช่วยป้องกันแดดได้ มากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับเอสพีเอฟ 15 ขอให้คิดใหม่ มันไม่ง่ายอย่างนั้น

ข้อเท็จจริงก็คือ SPF-15 จะช่วยบล็อกรังสีอัลตราไวโอเลตจากแสงอาทิตย์ได้ 93.3 เปอร์เซ็นต์ ส่วน SPF-30 นั้น จะป้องกันรังสีได้ 96.7เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้า SPF-45 ป้องกันได้ 97.8 เปอร์เซ็นต์ ไม่มีอันไหนที่ป้องกันได้ 100 เปอร์เซ็นต์ค่ะ รู้อย่างนี้แล้วคงพอช่วยให้หายงง และเลือกครีมกันแดดที่เหมาะกับผิวของตัวเองได้มากขึ้นนะคะ

สุนัข" ฉลาดพอๆ กับเด็กอายุ 2 ขวบ

ศาสตราจารย์สแตนลีย์ โคเร็น แห่งมหาวิทยาลัยบริติชโคลัมเบีย ประเทศแคนาดา ได้เปิดเผยการวิจัยเกี่ยวกับการทดสอบพัฒนาการทางภาษาและการเข้าใจในหลักการคณิตศาสตร์ของสุนัข ซึ่งผลการวิจัยออกมาว่า สุนัขพันธุ์ทั่วไปสามารถเรียนรู้และเข้าใจคำพูด สัญลักษณ์ต่างๆ ได้ประมาณ 165 ลักษณะ
แต่สำหรับสุนัขสายพันธุ์ที่มีความความแสนรู้จะเข้าใจสิ่งต่างๆ ได้มากกว่าสุนัขทั่วไปถึง 250 ลักษณะ ซึ่งความฉลาดนี้จะใกล้เคียงกับเด็กอายุ 2 ขวบ โดย ศาสตราจารย์สแตนลีย์ โคเร็น กล่าวว่า "แน่นอนว่าผลวิจัยของผมไม่ได้บอกว่าเราจะนั่งคุยกับสุนัขรู้เรื่อง แต่ชี้ว่าสุนัขมีความสามารถในการรับรู้และสื่อสารกับเราผ่านการดูท่าทางและรับฟังคำสั่งคล้ายๆ กับเด็ก 2 ขวบ"
"สุนัข" ฉลาดพอๆ กับเด็กอายุ 2 ขวบ
ซึ่งนอกจากผลการวิจัยแล้ว ยังมีการจัดอันดับสุนัข 5 สายพันธุ์ที่แสนรู้ที่สุดอีกด้วย โดยเริ่มจาก บอร์เดอร์ คอลลี่, พุดเดิ้ล, เยอรมันเชฟเฟิร์ด, โกลเด้นรีทริฟเวอร์ และโดเบอร์แมน พิ้นเชอร์ (เรียงจากมากไปหาน้อย)
เห็นไหมจ๊ะว่า สุนัขเป็นที่สัตว์ที่ฉลาด แสนรู้ เราสั่งอะไรมันก็ทำตาม เวลาเศร้าเสียใจมันก็จะเข้ามาคลอเคลียใกล้ๆ ทำให้เรารู้สึกดีขึ้นได้ เป็นสัตว์ที่น่ารักที่สุดเลย ว่าแต่ที่บ้านของน้องๆ เลี้ยงสุนัขกันกี่ตัวจ๊ะ และเป็นพันธุ์อะไรกันบ้าง







เผยกิน “แกงกะหรี่” ป้องกันอัลไซเมอร์ได้

เผยกิน “แกงกะหรี่” ป้องกันอัลไซเมอร์ได้


พร้อมทานครบ 5 หมู่ - ออกกำลังกายไปด้วย รับประทานแกงกะหรี่หรืออาหารปรุงด้วยผงกะหรี่สัปดาห์ละ1 หรือ 2 ครั้งอาจช่วยป้องกันโรคความจำเสื่อม (อัลไซเมอร์) ได้ การค้นพบครั้งนี้เป็นผลงานของมหาวิทยาลัยดุค ในนอร์ธ แคโรไลน่า สหรัฐอเมริกา โดยเชื่อว่าสารเคอร์คูมิน ในแกงกระหรี่มีบทบาทสำคัญในการป้องกันการแพร่กระจายของหินปูนโปรตีนที่ชื่อ"แอมมิลอยด์" ในสมองที่เชื่อว่าเป็นสาเหตุของความจำเสื่อม อย่างไรก็ตาม ผู้วิจัยเตือนว่า อย่าไปหวังพึ่งว่าการรับประทานแกงกะหรี่จะเป็นยาวิเศษป้องกันโรคความจำเนื่อมเพราะหากต้องการมีสมองดีก็ต้องรับประทานทุกชนิดอย่างเลือกสรร ออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย ตามด้วยการรับประทานแกงกะหรี่อย่างสม่ำเสมอ ผลจากการวิจัยนี้อาจะเป็นไปได้ที่จะมีการพัฒนาเม็ดยาแกงกะหรี่ที่ให้ผลอย่างเดียวกับแกงกะหรี่หรือผงกะหรี่ สมาคมโรคอัลไซเมอร์แห่งสหรัฐอเมริกา ออกมาสนับสนุนผลทางการวิจัยนี้ โดยชี้ว่าชุมชนชาวอินเดียที่รับประทานแกงกะหรี่อย่างสม่ำเสมอ มีอัตราการเกิดของโรคความจำเสื่อมอย่างน่าประหลาดใจ ซึ่งในช่วงนั้นทางสมาคมยังบอกไม่ได้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่หลังจากนี้สมาคมสนใจจะสำรวจผลดีจากสารเคอร์คูมินในผงกะหรี่ว่าสามารถป้องกันสมองเสื่อมได้จริงหรือไม่ หากผลกะหรี่ให้ผลดีในการป้องกันโรคจริง ก็จะถือว่าเป็นแนวทางการรักษาและป้องกันราคาถูก ทุกคนเข้าถึงได้ ซึ่งจะช่วยให้คุณภาพชีวิตคนจำนวนมากดีขึ้น


เผยกินแกงกะหรี่ ป้องกันอัลไซเมอร์ได้

นอกจากนี้แกงกะหรี่ยัง สามารถช่วยสกัดมะเร็งเต้านมได้ วันนี้พี่นัทจึงรวบรวมเกร็ดความรู้มีมาบอกน้องชาว Dek-d.com กัน.... ศูนย์ เอ็ม ดี แอนเดอร์สัน มหาวิทยาลัยเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้วิจัยออกมาแล้วว่า สารเคอร์คิวมินที่อยู่ในขมิ้นเครื่องเทศที่เป็นส่วนผสมหลักของแกงกะหรี่นั้น สามารถช่วยหยุดยั้งมะเร็งเต้านมไม่ให้ลุกลามไปที่อื่นได้ โดยสถาบันได้ทดลองกับหนูที่เป็นมะเร็งเต้านม พบว่า ..หนูที่ได้รับสารเคอร์คิวมินเพียงอย่างเดียว สามารถทำให้ก้อนเนื้อเล็กลงเรื่อย ๆ การค้นพบนี้กลายเป็นความหวังใหม่ของผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านม ส่วนคุณผู้ชายสามารถทานแกงกะหรี่ เพื่อช่วยชะลอมะเร็งต่อมลูกหมากได้ เนื่องจากมีสารเคอร์คิวมิน อีกทั้งช่วยลดอาการอัลไซเมอร์ได้

อุณหภูมิ >> น้องๆ ห้ามนำนาฬิกาเรือนโปรดของตัวเองไปวางไว้ในสถานที่ร้อนๆ หรือเย็นจัดนะจ๊ะ รวมถึงบริเวณที่มีสนามแม่เหล็กไฟฟ้า เช่น เตาไมโครเวฟ วิทยุ เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้นาฬิกาเดินช้าลง
สายหนัง >> ต้องระมัดระวังสายหนังสุดสวยของเราไม่ให้ถูกน้ำนะจ๊ะ และเมื่อใช้สายหนังไปเรื่อยๆ แล้ว ควรที่จะมีการเปลี่ยนสายบ้าง เพราะสายหนังเป็นแหล่งรวมของเชื้อราจ้ะ
ถ่าน >> โดยปกติแล้วอายุการใช้งานของถ่านนาฬิกาแต่ละเรือนจะอยู่ 2 ปี ดังนั้นเมื่อถึงกำหนดแล้วน้องๆ ก็ควรที่จะนำนาฬิกาไปเปลี่ยนถ่านก้อนใหม่นะจ๊ะ เพราะถ้าไม่เปลี่ยนแล้วล่ะก็ สารเคมีจากถ่านที่หมดอายุแล้ว อาจจะรั่วอยู่ภายในนาฬิกา และเป็นสาเหตุที่ทำให้นาฬิกาเจ๊งได้นะจ๊ะ
มาเพิ่มอายุขัยของ "นาฬิกา" กันเถอะ
ไขลาน >> ถ้าซื้อนาฬิกาแบบออโตเมติกมาใหม่ แบบที่เข็มนาฬิกายังไม่ได้เดินเลยล่ะก็ ควรที่จะไขลานจนครบ 30 ครบ ก่อนที่จะตั้งเวลานะจ๊ะ
ตกน้ำ >> นาฬิกาเรือนโปรดตกน้ำ ถ้าเจอเหตุการณ์แบบนี้น้องๆ ต้องรีบนำนาฬิกาไปให้ช่างซ่อมโดยเร็วที่สุดนะจ๊ะ เพราะน้ำที่เข้าไปจะทำให้กลไกของนาฬิกาเป็นสนิมได้
การเอาใจใส่ดูแลของชิ้นโปรดไม่ว่าจะเป็น "นาฬิกา" หรือสิ่งอื่นๆ จะเป็นการยืดอายุการใช้งานของมันให้อยู่กับเราได้ไปนานๆ นะจ๊ะ ว่าแต่น้องๆ มีของชิ้นโปรดบ้างไหม ถ้ามีล่ะก็ มีวิธีดูแลรักษายังไงบ้างจ๊ะ ไหนลองเอามาบอกพี่ปัดหน่อยนะจ๊ะ

เรื่องน่ารู้

1.
ไข่ขาวสามารถใช้รักษาแผลน้ำร้อนลวกได้ จริงหรือ

เฉลย
จริง โดยใช้ไข่ขาว มาทาที่น้ำร้อนลวกให้ทั่วทิ้งไว้จนแห้ง ไปเอง แล้วรอสักพักใหญ่ๆ จึงล้างออกจะไม่มีรอยแดง หรือพองเลย ข้อสำคัญ ก่อนทาไข่ขาวอย่าให้ถูกน้ำเย็นหรือของอื่นเลย และอย่าไปแกะ หรือเกาตอนที่ใกล้จะแห้ง เพราะจะทำให้หนังถลอก
2.
ยาหม่องสามารถใช้ขจัดหมากฝรั่งเปื้อนผ้าได้ จริงหรือ

เฉลย
จริง โดยการใช้ยาหม่องถูตรงยางเหนียวๆ ของหมากฝรั่งไปมา ไม่นานยางของหมากฝรั่งก็จะหลุดออกหมด แล้วจึงนำผ้าไปซักตามปกติ
3.
ใส่หลอดในขวดซอสมะเขือเทศจะทำให้เทออกง่าย จริงหรือ

เฉลย
จริง โดยการใส่หลอดลงไปให้ลึกถึงก้นขวด เพื่อให้อากาศสามารถแทรกผ่าน เข้าไปในขวดได้ แล้วเทซอสมะเขือเทศ ก็จะไหลออกมาง่ายขึ้น
4.
ถุงน่องแช่น้ำเกลือช่วยให้ถุงน่องไม่ขาดง่าย จริงหรือ

เฉลย
จริง โดยการนำเกลือ 2 ถ้วยผสมกับน้ำ 1 แกลอน แช่ถุงน่องใหม่ไว้นาน 3 ชั่วโมง แล้วล้างด้วยน้ำเย็น ยกถุงน่องขึ้น มาตากให้น้ำหยดจนแห้ง ก็จะทำให้ถุงน่องคงสภาพ และเหนียวทนนาน
5.
มันฝรั่งกำจัดกลิ่นปลาร้าติดมือได้ จริงหรือ

เฉลย
ไม่จริง แต่มันฝรั่งสามารถกำจัดกลิ่นหัวหอมติดมือได้ โดยการนำมันฝรั่งที่ปอกแล้ว มาถูมือที่มีกลิ่นหัวหอมติดอยู่ กลิ่นหัวหอมก็จะค่อยๆ จางหายไป
6.
พริกแห้งใช้ไล่แมลงวันได้ จริงหรือ

เฉลย
จริง เวลาตากของแห้งไว้ จะมีแมลงวันมาตอม ให้เอาพริกแห้ง 5 - 6 เม็ด เสียบไว้รอบกระด้ง ไอร้อนของพริก จะทำให้แมลงวันไม่กล้าเข้าใกล้
7.
เบียร์ช่วยคลายเกลียวขึ้นสนิมได้

เฉลย
จริง ให้รินเบียร์ลงไปบนเกลียวขึ้นสนิมนิดหน่อย รอ 2-3 นาที ความเป็นกรดของเบียร์ จะช่วยขจัดสิ่งสกปรก และเศษสนิม ทำให้เกลียวหมุนเปิดได้ง่ายขึ้น
8.
เอาผ้าไหมแช่ช่องแข็งจะทำให้รีดง่าย จริงหรือ

เฉลย
จริง การรีดผ้าไหม ควรใช้ไฟอ่อนๆ เพราะผ้าไหมจะไหม้เกลียม หรือเป็นสีเหลืองได้ง่าย แต่ถ้าผ้าไหมยับมาก ก่อนรีดควรฉีดพรมน้ำยาให้ทั่ว แล้วพับใส่ถุงพลาสติก นำไปแช่ในช่องแข็งของตู้เย็น ประมาณ 10 -15 นาที แล้วจึงนำออกมารีด จะทำให้รีดผ้าไหมได้ง่าย และเรียบยิ่งขึ้น
9.
นำเหรียญสลึงใส่แจกันช่วยให้ดอกไม้ไม่เหี่ยวเฉาได้ จริงหรือ

เฉลย
จริง โดยให้หย่อนเหรียญสลึงลงไปในแจกัน ส่วนผสมที่เป็นทองแดงในเหรียญ จะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งเป็นสาเหตุให้ดอกไม้เหี่ยวเฉา
10.
ใบฝรั่งช่วยดูดกลิ่นได้ จริงหรือ

เฉลย
จริง โดยให้นำใบฝรั่งมาตำให้ละเอียดคั้นเอาแต่น้ำ แยกกากใบออก น้ำมันหอมระเหยที่ได้ จะทำหน้าที่ดับกลิ่น ส่วนกากใบที่ได้ให้นำไปวางไว้ตามจุดต่างๆ เพื่อช่วยดูดกลิ่นได้

ชุดคำถามที่ 2 หมวดกินเพื่อสุขภาพ

1.
กินน้ำมะนาวปั่นสามารถแก้อาการเมาค้างได้ จริงหรือ

เฉลย
ไม่จริง แต่แก้อาการเมาค้างได้โดยการดื่มน้ำกล้วยปั่นกับนมและน้ำผึ้ง เพราะกล้วยจะทำให้กระเพาะของเราสงบลง ส่วนน้ำผึ้งจะเป็นตัวช่วยหนุนเสริมปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือดที่หมดไป ในขณะที่นมก็ช่วยปรับระดับของเหลวในร่างกายของเรา ทำให้อาการเมาหายไปได้
2.
เมื่อเป็นไข้ไม่ควรกินฝรั่ง จริงหรือ

เฉลย
จริง เพราะในฝรั่งมีแร่โพแทสเซียมสูง เมื่อเวลาเป็นไข้ร่างกายจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น การกินอาหารที่มีโพแทสเซียมสูงจะส่งผลให้เกิดอาการชักได้
3.
มันฝรั่งช่วยลดความดันโลหิตให้ต่ำลงได้ จริงหรือ

เฉลย
จริง เพราะในมันฝรั่งมีสารเคมีที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติที่ชื่อว่า คูคัวไมน์ส มีสรรพคุณในการควบคุมความดันโลหิตให้ต่ำลง และมันยังรักษาโรคที่ลึกลับที่เรียกว่า โรคนอนหลับ ได้อีกด้วย
4.
ดื่มนมร้อนก่อนนอนจะช่วยกระตุ้นอารมณ์ทางเพศได้ จริงหรือ

เฉลย
ไม่จริง แต่การดื่มนมร้อนก่อนนอนจะช่วยให้นอนหลับสบายยิ่งขึ้น เพราะนมร้อนจะส่งเสริมให้สมองหลั่งสาร
5.
การเคี้ยวหมากฝรั่งช่วยเพิ่มฮอร์โมนเพศชายได้ จริงหรือ

เฉลย
ไม่จริง แต่การเคี่ยวหมากฝรั่งช่วยให้คนไข้ผ่าตัดลำไส้ใหญ่หายเร็วขึ้น เพราะการเคี้ยวหมากฝรั่งหลังการผ่าตัด เป็นการบริหารให้ลำไส้กลับมาทำงานตามปกติได้เร็วขึ้น คนไข้จะไม่เกิดอาการลำไส้อืด ซึ่งทำให้ปวดท้อง และท้องอืด หลังจากที่ต้องหยุดทำงานไปพักหนึ่ง
6.
การกินเนยก่อนนอนทำให้นอนหลับสนิทขึ้น จริงหรือ

เฉลย
จริง เพราะในเนยมี กรดอมิโน ที่มีชื่อว่า ทริปโตพัน ซึ่งมีสรรพคุณช่วยให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย และสะกดให้หลับได้สนิทดีขึ้น
7.
กินส้มช่วยแก้อาการเซ็งได้ จริงหรือ

เฉลย
จริง การรับประทานส้มโดยปอกเปลือกเองจะมีกลิ่นส้มที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย และวิตามินซีที่ร่างกายได้รับในจำนวนที่เพียงพอ ช่วยให้สมองหลั่งฮอร์โมนที่ทำให้คลายความเครียดลงได้ดีออกมาด้วย
8.
การกินช็อคโกแล๊ตช่วยแก้ไอได้ จริงหรือ

เฉลย
จริง เพราะ โกโก้ที่ใช้ทำช็อคโกแล๊ตมีสารที่ชื่อว่า ธีโอโบรไมน์ จะไปออกฤทธิ์ที่เส้นประสาทชื่อ เวกัสเนอร์ฟ ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการไอ ทำให้สามารถหยุดอาการไอเรื้อรังอย่างได้ผล
9.
การกินบ๊วยช่วยเพิ่มกำลังได้ จริงหรือ

เฉลย
จริง เพราะ การที่คนเรามีอาการเหนื่อย อ่อนเพลีย เพราะกรดในเลือดสูง ร่างกายไม่สามารถปรับดุลความเป็นด่างได้ทัน แต่บ๊วยมีความเป็นด่าง Ph 7.35 ใกล้เคียงกับเลือดคนเรา จึงช่วยถ่วงดุลความเป็นด่างได้ และยังมีโปรตีน เกลือแร่ และสารอาหารจำเป็นอยู่มากอีกด้วย
10.
การกินอาหารมื้อเช้าช่วยป้องกันความจำเสื่อมได้ จริงหรือ

เฉลย
จริง เพราะ เลือดตอนเช้าจะแข็งตัวง่ายกว่าปกติ จึงมีโอกาสที่หลอดเลือดอุดตันมากขึ้น สารอาหาร ไปเลี้ยงสมองได้น้อยลง สมองจึงค่อยๆ เสื่อม

ชุดคำถามที่ 3 หมวดรู้ไว้ใช่ว่า

1.
การแลบลิ้นให้น้ำลายยืดลงพื้น 3 หยดจะแก้เผ็ดได้ จริงหรือ

เฉลย
จริง อาการเผ็ดเกิดจากสารที่ชื่อ แคปไซซิน ที่อยู่ในพริกเข้าไปจับกับปลายประสาทรับรถที่ลิ้น ร่างกายจะก็จะแสดงปฎิกริยาโดบขับน้ำลายออกมาชะล้างเอาเจ้าสารนี้ออกไป
2.
ดูดนมยางของเด็กทารกตอนนอนจะแก้อาการนอนกรนได้ จริงหรือ

เฉลย
จริง การคาบหรืออมนายางของเด็กทารกไว้ในปากจะทำให้ลิ้นในปากอยู่นิ่ง ก็จะพลอยให้เนื้อเยื่อของเพดานไม่กระเทือนสั่นไหวขึ้นจึงไม่เกิดอาการกรน และไม่นอนอ้าปากอีกด้วย
3.
การสูดกลิ่นตัวผู้ชายทำให้หายเครียดได้ จริงหรือ

เฉลย
จริง เพราะกลิ่นตัวผู้ชายที่เป็นคนรักนั้นมีสาร ฟีโรโมน ผสมอยู่โดยเฉพาะในผมและผิวของเขา เมื่อสูดดมแล้วจะช่วยลดอาการเครียดและเหนื่อยล้าลงได้
4.
แอปเปิ้ลผลิตกระแสไฟฟ้าได้ จริงหรือ

เฉลย
จริง ถ้าเสียบแผ่นสังกะสี และแผ่นทองแดง กรดในแอปเปิ้ลจะทำให้เกิดการแตกตัวของไอออน ทำให้ลูกแอปเปิ้ลเป็นเหมือนแบตเตอรี่ ซึ่งผลไม้ชนิดอื่นเช่น มะนาว เกรป ฟรุ๊ต หรือมันฝรั่ง ก็ทำได้เช่นกัน
5.
ปัสสาวะมนุษย์ใช้ทำยาสีฟันในสมัยโบราณ จริงหรือ

เฉลย
จริง โดยแพทย์ชาวโรมันเชื่อว่า ปัสสาวะมนุษย์ มีคุณสมบัติทำให้ฟันขาว และแข็งแรง ยาสีฟันในยุคดังกล่าว จึงเป็น น้ำยาบ้วนปากที่ทำจากปัสสาวะมนุษย์
6.
วัวกระทิงเกลียดสีแดง จริงหรือ

เฉลย
ไม่จริง เพราะ วัวเป็นสัตว์ตาบอดสี ไม่สามารถแยกแยะสีต่างๆ ได้ แต่การที่วัวเมื่อถูกล่อด้วยผ้าแดงเหมือนในสนามสู้วัว แล้วก็พุ่งเข้าใส่นั้น เป็นเพราะความรำคาญ และเพราะถูกยั่วยุมากกว่า
7.
เพชรแท้จะไม่ติดสีหมึก จริงหรือ

เฉลย
จริง การทดสอบดูเพชรแท้นั้น ให้ป้ายน้ำหมึกสีดำไปบนเพชร ถ้ามีความลื่นออก ไม่ติดอยู่บนเพชร แสดงว่าเป็นเพชรแท้ แต่ถ้ายังมีจุดดำตรงที่แต้มอยู่ ก็แสดงว่าเป็นเพชรเทียม
8.
การทะเลาะกันทำให้แผลหายช้า จริงหรือ

เฉลย
จริง เพราะ ความเครียดที่เกิดขึ้น ทั้งระหว่าง และหลังจากการทะเลาะกัน จะส่งผลให้ร่างกายลดการผลิตโปรตีนเม็ดเลือด ที่มีประโยชน์ต่อการรักษาบาดแผล หรือส่วนที่สึกหรอในร่างกายให้น้อยลง ทำให้บาดแผลต่างๆ หายช้า
9.
แสงแดดอ่อนๆ ช่วยป้องกันโรคซึมเศร้าได้ จริงหรือ

เฉลย
จริง เพราะ แสงแดดอ่อนๆ จะช่วยลดการสร้างฮอร์โมนเมลาโตนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ควบคุมการนอนหลับ ถ้าหากเก็บตัวอยู่แต่ในที่มืดจะทำให้ฮอร์โมนตัวนี้สูงขึ้น และอาจส่งผลให้เกิดการง่วง เหงา ซึมเซา ได้
10.
การฟังเพลงช่วยบรรเทาอาการปวดข้อได้ จริงหรือ

เฉลย
จริง เพราะ การฟังเพลงทำให้สมองหลั่งสารเอนดอร์ฟินส์ ซึ่งเป็นฮอร์โมนสร้างความสุขออกมา ช่วยลดความดันโลหิต และบรรเทาอาการปวดข้อลงได้

ชุดคำถามที่ 4 หมวดความสวยความงาม

1.
กินหวานมากทำให้ผิวเหี่ยว จริงหรือ

เฉลย
จริง เพราะ เมื่อร่างกายมีน้ำตาลอยู่ในกระแสเลือดมากเกินไป มันจะไปเกาะติดกับเส้นใยโปรตีนที่อยู่ระหว่างเซลล์ผิว ทำให้เกิดภาวะผิวเครียดขึ้น และนำไปสู่อาการแก่ก่อนวัย ผิวหยาบกร้าน และเหี่ยวย่นในที่สุด
2.
การยืนเอาปลายนิ้วมือแตะปลายนิ้วเท้าจะทำให้ผิวหน้าดูสดใส จริงหรือ

เฉลย
จริง โดยการยืนเอาปลายนิ้วมือแตะปลายนิ้วเท้า ก้มตัวต่ำๆค้างไว้นับ 1-30 แล้วค่อยๆ ยืนขึ้นจะทำให้โลหิตบริเวณหนังศีรษะ และใบหน้าหมุนเวียนได้ดียิ่งขึ้น ส่งผลกระทบให้ผิวหน้าดูสดใสขึ้น
3.
เอาน้ำแข็งถูหน้าก่อนนอนจะทำให้หายมันได้ จริงหรือ

เฉลย
ไม่จริง แต่แก้ปัญหาหน้ามันได้โดยการ ใช้น้ำเมือกว่านหางจระเข้ทาหน้าให้ทั่วใบหน้า ทาแล้วไม่ต้องล้างออก น้ำเมือกจะแห้งไปเองภายใน ๕ - ๑๐ นาที ทำก่อนนอน แค่นี่หน้าก็จะหาย
4.
การสวมเสื้อผ้าหนาๆ เพื่อให้เหงื่อออกเยอะๆ จะทำให้ผอมเร็วจริงหรือ

เฉลย
ไม่จริง การที่เหงื่อออกเยอะคือ ภาวะที่ร่างกายโดนความร้อนแล้วระบายความร้อนออกมา ไม่ใช่การเผาผลาญไขมันออกมา เพราะฉะนั้นพอเราดื่มน้ำเข้าไป น้ำหนักก็จะเท่าเดิม
5.
คนผิวแห้งมีโอกาสเกิดริ้วรอยกว่าคนผิวมัน จริงหรือ

เฉลย
จริง เพราะคนผิวแห้งขาด ซีบัม หรือสารไขมัน ทำให้กลไกลการปกป้องตนเองของผิวหนังทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร เพราะฉะนั้นคนผิวแห้งควรดูแล และทาครีมบำรุงเพื่อความชุ่มชื่นแก่ผิวพิเศษกว่าคนผิวมัน
6.
การฝึกกลั้นหายใจสามารถชะลอหน้าแก่ก่อนวัยได้ จริงหรือ

เฉลย
จริง โดยการหายใจออกทางปากอย่างช้าๆ จนสุดลม แล้วหายใจเข้าทางจมูกอย่างช้าๆ ให้เต็มปอด กลั้นไว้ระยะหนึ่ง แล้วจึงหายใจออกอย่างช้าๆ ทำแบบนี้วันละ 2 ครั้งๆ ละ 20 นาที จะช่วยชะลอผิวแก่ก่อนวัย และรอยคล้ำ ได้
7.
การร้องไห้ช่วยลดความอ้วนได้ จริงหรือ

เฉลย
ไม่จริง แต่การหัวเราะต่างหากที่ช่วยเผาผลาญแคลอรีให้หมดไปได้ดีกว่าอยู่เฉยๆ ได้มากถึง 20% ซึ่งหากได้หัวเราะวันละสัก 10 -15 นาที จะช่วยเผาผลาญพลังงานลงได้มากถึง 50 แคลอรี
8.
กาวตราช้างใช้รักษาส้นเท้าแตกได้ จริงหรือ

เฉลย
จริง เพราะ เมื่อปิดหนังที่แตกด้วยกาวตราช้าง สิ่งสกปรกจะเข้าไปในรอยแตกไม่ได้ ผิวจะไม่ ถูกรบกวน จึงมีการซ่อมแซมตนเองขึ้นมา มีการสร้างเซลล์ใหม่ และผลัดเซลล์เก่าออก กาวช้างก็จะหลุดออกไป แต่ห้ามใช้กับคนที่แพ้กาวตราช้าง
9.
การเต้นรำทำให้ผิวสวยได้ จริงหรือ

เฉลย
จริง เพราะ การเต้นรำเพียงวันละ 20 นาที ช่วยเผาผลาญแคลอรี กระตุ้นระบบการหายใจ และระบบหมุนเวียนโลหิต ทำให้เลือดลมเดินทั่วผิว ทำให้ผิวสวยมีสุขภาพดี
10.
การใส่กระโปรงสั้นในห้องแอร์เป็นประจำทำให้ขาใหญ่ได้ จริงหรือ

เฉลย
จริง เพราะ ช่วงขาส่วนที่อยู่นอกกระโปรงจะเกิดการสะสมไขมันเป็นพิเศษ เพื่อให้เข้ากับสภาพอากาศ โดยเฉพาะเมื่อผิวหนังเจอความหนาวเย็น ทำให้เกิดเซลลูไลท์ขึ้นจนทำให้ขาใหญ่ ถ้าหากจำเป็นต้องใส่กระโปรงสั้นจริงๆ ควรใส่ถุงน่องเพื่อเพิ่มความอบอุ่น
Privacy Policy About UsCopyright © 2000-2008 - Job Online Co.,Ltd. All rights reserved.Contact Webmaster : Webmaster@Jobpub.com
ภาษาฝรั่งเศส เป็นภาษาที่ได้รับความนิยมในหมู่นักเรียนไทยมากอีกภาษาหนึ่ง น่าเสียดายที่ระยะหลังสาขาวิชาภาษาฝรั่งเศสในโรงเรียนกลายเป็นห้องที่รองรับนักเรียนที่ "เรียนอะไรไม่ได้แล้ว" จึงมาเรียนภาษาฝรั่งเศส ทุกคนสามารถเรียนภาษาฝรั่งเศสได้ แต่ถ้าจะเรียนให้ได้ดีนั้นไม่ใช้เรื่องง่าย จึงไม่แปลกที่นักเรียนกว่า 80% จะทิ้งภาษาฝรั่งเศสเมื่อเรียนจบ ม. 6 และมีนักศึกษาที่จบปริญญาตรีไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถนำภาษาฝรั่งเศสมาใช้จริงในโลกแห่งการทำงาน
คนที่จะเรียนภาษาฝรั่งเศสให้ได้ดีนั้น ต้องมีความอดทน เพราะไวยากรณ์ภาษาฝรั่งเศสมีความยุ่งยากซับซ้อนมาก หากไม่ตั้งใจเรียนอย่างต่อเนี่องก็จะไม่ประสบความสำเร็จ
นักเรียนที่คิดจะเริ่มเรียนภาษาฝรั่งเศส ขอให้รู้ว่า
1. ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาที่มี 2 เพศ นอกจากจะต้องท่องคำศัพท์แล้วจะต้องท่องด้วยว่า คำ ๆ นั้นเป็นเพศหญิงหรือเพศชาย เช่น โต๊ะ = une table เป็นเพศหญิง แทนที่จะท่องแค่ Table เหมือนภาษาอังกฤษ ก็ต้องท่องว่าเป็นเพศหญิงเพิ่มเติม ถ้าท่องเพศผิดจะมีผลต่อโครงสร้างประโยคด้วย แค่เรื่องศัพท์ก็หนักกว่าภาษาอังกฤษ 2 เท่า
2. ภาษาฝรั่งเศสมีการกระจายกริยาที่ซับซ้อนกว่าภาษาอังกฤษ เช่น v.être ที่แปลว่าเป็นอยู่คือ ภาษาอังกฤษ verb to be ในกาลปัจจุบัน คือ is am are ส่วนภาษาฝรั่งเศส แค่ช่องปัจจุบันช่องเดียว มีรูปกริยาถึง 6 แบบที่ผันตามประธาน คือ
Je suis
tu es
il/elle est
nous sommes
vous êtes
ils/elles sont
ถ้ารวมการผันกริยาในกาลอื่น ๆ เข้าไปอีก กริยา 1 ตัว จะมีรูปให้จำถึงกว่า 50 รูป โชคดีที่มีกฎเพื่อการกระจายกริยามาช่วย ทำให้การกระจายกริยาเป็นระบบระเบียบพอสมควร ผู้เรียนจึงต้องใส่ใจที่จะจำกฎ เพราะถ้าจำกฎไม่ได้ การกระจายกริยาก็จะทำให้ชีวิตการเรียนภาษาฝรั่งเศสเป็นเรื่องทรมานที่สุด
นี่เป็นตัวอย่างคร่าว ๆ ของ "ธรรมชาติ" ภาษาฝรั่งเศส ที่อาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีของคนที่ "เรียนอะไรไม่ได้แล้ว" จึงมาเรียนภาษาฝรั่งเศส คนที่เรียนภาษาฝรั่งเศสเพื่อที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตจะต้องทุ่มเท สม่ำเสมอกับการเรียน และจะต้องใช้ภาษาฝรั่งเศสได้อย่างมีประสิทธิภาพทั้งฟัง พูด อ่าน และเขียน จึงจะสามารถออกมาหางานทำเงินเดือนดี ๆ ได้ ล่าสุดภาษาฝรั่งเศสเพื่อการท่องเที่ยวมีแนวโน้มดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากคนฝรั่งเศสนิยมมาเที่ยวเมืองไทยมากขึ้น สถิติจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยพบว่า ปีที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวจากฝรั่งเศส เพิ่มขึ้นถึงกว่า 29% ดังนั้นภาษาฝรั่งเศสจึงเป็นภาษาที่มีอนาคตดีอีกภาษาหนึ่งทีเดียว

เหตุผลที่ควรเรียนภาษาฝรั่งเศส จากสมาคมครูฝรั่งเศสแห่งประเทศไทย
ข้อมูลการเปิดสอนภาษาฝรั่งเศสในสถาบันการศึกษา
รศ. ดร. ธิดา บุญธรรม และ ดร. จงกล สุภาเวชย์
ตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ พุทธศํกราช 2544 ภาษาอังกฤษได้รับการกำหนดให้เป็นสาระการเรียนรู้ ภาษาต่างประเทศที่นักเรียนทุกคนต้องเรียนในทุกระดับ ส่วนภาษาต่างประเทศอื่นๆ เช่น ฝรั่งเศส เยอรมัน ญี่ปุน จีน และภาษาอื่นๆ ได้ถูกกำหนดให้เป็นสาระการเรียนรู้เพิ่มเติมซึ่งผู้เรียนรู้ระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและมัธยมศึกษาตอนปลาย ทั้งผู้เรียนที่เน้นทางภาษาและผู้เรียนที่เน้นทางคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สามารถเลือกเรียนได้ 1 ภาษาควบคู่กับการเรียนภาษาอังกฤษ ตามความสนใจ หรือตามที่คิดว่าจะใช้ภาษานั้นในการประกอบอาชีพ หรือในการศึกษาค้นคว้าในอนาคต ทั้งนี้การเปิดสอนภาษาใด เพื่อสนองความต้องการของผู้เรียนต้องขึ้นอยู่กับความพร้อมของโรงเรียนว่ามีครูผู้สอนที่มีวุฒิในภาษานั้นหรือไม่
ในระดับอุดมศึกษามหาวิทยาลัยของรัฐ และมหาวิทยาลัยเอกชนมีคณะต่างๆ ที่เปิดสอนภาษาฝรั่งเศสต่อเนื่องจากระดับมัธยมศึกษา ผู้เรียนสามารถเลือกภาษาฝรั่งเศสเป็นวิชาหนึ่งในสามวิชาในการสอบ A NET เพื่อเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย
ในประเทศไทย ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาต่างประเทศที่มีผู้เลือกเรียนมากเป็นอันดับ 1 แต่ละปีมีผู้เลือกเรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายมากกว่า 41000 คน เหตุผลในการเลือกเรียนภาษาฝรั่งเศสโดยทั่วไปก็คือ เป็นภาษาที่มีเสียงไพเราะ นุ่มนวล อยากไปเที่ยวประเทศฝรั่งเศส เพราะเป็นดินแดนแห่งศิลปวัฒนธรรมสวยงามมาก อยากร้องเพลง อ่านป้ายสินค้า เครื่องสำอาง น้ำหอมฝรั่งเศสได้ และอยากรับประทานอาหารฝรั่งเศส เพราะมีชื่อเสียงระดับโลกว่าอร่อย น่ารับประทาน และมีวิธีรับประทานที่หรูหรา ต้องดื่มเหล้าองุ่นขาวหรือองุ่นแดงแล้วแต่ประเภทอาหาร ซึ่งเป็นวัฒนธรรมในการรับประทานที่เป็นที่ยอมรับในสังคมชั้นสูง นั่นคือความสนใจเบื้องต้น
การเลือกเรียนภาษาต่างประเทศอีกหนึ่งภาษา ควบคู่กับภาษาอังกฤษ ควรมีวิจารณญาณและเหตุผลที่ชัดเจนในการเลือก เห็นความสำคัญและประโยชน์ีที่กว้างขวาง มิใช่การเลือกตามแฟชั่น ผู้เรียนทุกคนคงอยากจะนำภาษาที่เรียนไปใช้ได้ในหลายๆ ประเทศ ภาษาฝรั่งเศสมิได้ใช้พูดเฉพาะในประเทศฝรั่งเศสเท่านั้น ภาษาฝรั่งเศสใช้พูดใน 35 ประเทศในโลก ประเทศเหล่านี้กระจายอยู่ใน 5 ทวีป ประชากร 120 ล้านคนพูดภาษาฝรั่งเศส เช่น ในยุโรป มีประเทศใหญ่ๆ ที่ใช้ภาษาฝรั่งเศสคือ ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม สวิสเซอร์แลนด์ ลักเซ็มเบิร์ก ประเทศเล็กๆ ที่ได้ยินการกล่าวขวัญบ่อยๆ คือ โมนาโค ก็ใช้ภาษาฝรั่งเศส ทวีปอเมริการเหนือภาษาฝรั่งเศสใช้ในประเทศคานาดา ที่เมืองควิเบค และมอนทรีล ในประเทศอเมริกา ที่เมือง หลุยส์เซียน่า ในอเมริกาใต้ ที่เกาะกัวเดอลู มาร์ตินิค เฟร้นช์กิอาน่า ในทวีปอาฟริกามีอาณานิคมเก่าของฝรั่งเศสจำนวนมากที่ยังใช้ภาษาฝรั่งเศส ในเอเซีย ภาษาฝรั่งเศสยังคงใช้อยู่ในประเทศลาว เวียตนาม และกัมพูชา หากท่านคิดว่าอาจจะติดต่อทางธุรกิจกับ 35 ประเทศที่ใช้ภาษาฝรั่งเศสหรือจะไปเที่ยวในประเทศเหล่านี้ ก็ควรเรียนภาษาฝรั่งเศส นอกจากนี้ในกลุ่มประเทศสหภาพยุโรปหรืออียู 25 ประเทศ ก็ยังใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาราชการภาษาหนึ่งควบคู่กับภาษาอังกฤษและภาษาเยอรมัน
การเรียนภาษาต่างประเทศเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการค้นคว้า วิจัย ตักตวงความรู้ทางวิทยาการและเทคโนโลยี ควรเรียนภาษาฝรั่งเศส เพราะประเทศฝรั่งเศส สวิสเซอร์แลนด์ เบลเยี่ยม แคนาดา มีความก้าวหน้าสูงมากในหลายๆ ด้าน เช่น ทางด้านวิศวกรรม การสร้างจรวด อาวุธ ดาวเทียม อวกาศ เคมี อุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมยา เครื่องสำอาง การแพทย์ เวชภัณฑ์ การทำศัลยกรรมพลาสติก การเกษตร การตัดต่อพันธุกรรม สถาปัตยกรรม การวางผังเมือง การออกแบบตกแต่งภายใน ฯ
สำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาต่อด้านนิติศาสตร์ หรือรัฐศาสตร์ ควรเรียนภาษาฝรั่งเศสเป็นอย่างยิ่ง เพราะกฎหมายของประเทศฝรั่งเศสเป็นแม่บทกฎหมายที่สำคัญของโลก
ภาษาฝรั่งเศสมีประโยชน์ต่อการเรียนทางด้านวิชาสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ สำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาต่อทางด้านอักษรศาสตร์ มนุษย์ศาสตร์ ครุศาสตร์ โบราณคดี นิเทศศาสตร์ ศิลปกรรม การออกแบบ ด้านแฟชั่น การโรงแรม การท่องเที่ยว การประกอบอาหาร (restauration)
นอกจากนี้ ภาษาฝรั่งเศสยังเป็นภาษาราชการหนึ่งขององค์การระหว่างประเทศ เป็นภาษาของการกีฬาโอลิมปิค เป็นภาษาราชการของการไปรษณีย์สากล
การทำธุรกิจการค้าของประเทศไทย ควรเปิดตลาดการค้ากับประเทศที่่ใช้ภาษาฝรั่งเศส เพราะมีจำนวนมาก โดยเฉพาะกับประเทศต่างๆ ในทวีปอาฟริกา ซึ่งมีพลเมืองหนาแน่นและมีทรัพยากรน้ำมัน ขณะนี้บริษัทใหญ่ของฝรั่งเศสได้เข้ามาค้าขายทำธุรกิจในประเทศไทยมากกว่า 350 บริษัท สินค้าไทยส่งไปขายในฝรั่งเศสปีละหลายพันล้าน ไทยไม่เคยเสียดุลย์การค้ากับประเทศฝรั่งเศส
นักท่องเที่ยวที่ใช้ภาษาฝรั่งเศสเข้ามาเที่ยวและใช้เวลาพักผ่อนในประเทศไทยโดยเฉลี่ยประมาณ 7-10 วัน มากกว่าปีละ 3 แสนคน มีโรงแรมในเครือของฝรั่งเศสมาตั้งในประเทศไทยหลายโรง เราจึงจำเป็นต้องสร้างบุคลากรที่สามารถใช้ภาษาฝรั่งเศสในการสื่อสารได้เป็นอย่างดี เพื่อให้สามารถประกอบอาชีพทางด้านธุรกิจ การโรงแรม การท่องเที่ยว การประกอบอาหาร ภาษาฝรั่งเศสมีหลักสูตรพร้อมสำหรับการศึกษาอาชีพในด้านเหล่านี้
อนึ่ง เพื่อเป็นการสร้างเยาวชนยุคใหม่ให้มีความรู้ทางวิทยาการและเทคโนโลยีหลากหลาย ในปี 2547 รัฐบาลไทยจึงได้ส่งนักเรียนทุน "หนึ่งอำเภอหนึ่งทุน" ไปเรียนในประเทศต่างๆ ที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษ นักเรียนทุนรวม 923 คน เลือกไปศึกษาต่อในประเทศที่ใช้ภาษาฝรั่งเศสดังนี้ เลือกประเทศฝรั่งเศส 164 คน เลือกสมาพันธรัฐสวิส 25 คน และเลือกราชอาณาจักรเบลเยี่ยม 23 คน ในอนาคตเยาวชนไทยเหล่านี้จะใช้ภาษาฝรั่งเศส และนำวิทยาการจากประเทศที่เรียนมาใช้ในการพัฒนาประเทศ คาดว่าทุนรัฐบาลไทยในปี 2549 จะมีผู้เลือกไปเรียนในประเทศที่ใช้ภาษาฝรั่งเศสจำนวนมากเหมือนเดิม เพราะเป็นประเทศผู้นำทางเทคโนโลยี
รัฐบาลฝรั่งเศส และประเทศใหญ่ๆ ที่ใช้ภาษาฝรั่งเศสให้ทุนแก่ผู้ที่เรียนภาษาฝรั่งเศสจำนวนมากในแต่ละปีแก่ผู้เรียนระดับมัธยมศึกษา ทั้งผู้เรียนทางภาษา และคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เป็นทุนระยะสั้นเพื่อไปเรียนภาษาและทัศนศึกษา ระดับอุดมศึกษาก็ให้ทุนในรูปแบบต่างๆ ด้านกฎหมาย รัฐศาสตร์ วิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ประยุกต์ วิศวกรรมศาสตร์ สถาปัตยกรรม การเกษตร การใช้ไอที ฯลฯ
เหตุผลประการสุดท้ายในการเลือกเรียนภาษาฝรั่งเศสก็คือ การเรียนการสอบภาษาฝรั่งเศสในประเทศไทยได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลามากกว่า 30 ปี ครูภาษาฝรั่งเศสจำนวน 500 กว่าคน ได้รับทุนไปฝึกอบรมในประเทศฝรั่งเศสทั้งระยะสั้น 1-2 เืดือน ระยะยาว 7-9 เดือน ทุนศึกษาปริญญาโท 20 เดือน ครูทุกคนมีความรู้ภาษาฝรั่งเศสระดับปริญญาตรี ประมาณ 20% มีความรู้ปริญญาโท ปริญญาเอก และครู ประมาณ 50%ได้ไปรับการอบรมในประเทศฝรั่งเศสถึง 2 ครั้ง นอกจากนี้ยังได้หมุนเวียนกันเข้ารับการอบรมในประเทศทุกปิดภาคเรียน เช่น หลักสูตรพัฒนาภาษา หลักสูตรพัฒนาเทคนิคการสอน หลักสูตรผู้นำทางวิชาการ หลักสูตรการใช้ไอทีในการสอน เพื่อการอบรมขยายผลต่อในระดับท้องถิ่น ครูภาษาฝรั่งเศสจึงมีความพร้อมด้านคุณวุฒิ การสอนภาษาฝรั่งเศสนี้ได้รับการดูแลอย่างดี จากศึกษานิเทศก์ภาษาฝรั่งเศส สำนักฑูตวัฒนธรรมฝรั่งเศสและสมาคมครูภาษาฝรั่งเศสแห่งประเทศไทย ในแต่ละปีรัฐบาลฝรั่งเศสให้ความสนับสนุนด้านทุน สำหรับครู นักเรียนและผู้บริหารโรงเรียน เพื่อไปฝึกอบรม ทัศนศึกษา และดูงานในประเทศฝรั่งเศส การสอนภาษาฝรั่งเศสมีสื่อการเรียนที่น่าสนใจ สอดคล้องกับหลักสูตรใหม่ กิจกรรมการเรียนการสอนสนุกสนาน ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาเดียวที่จัดงานชุมนุมนักเรียนระดับประเทศทุกๆ ปี เพื่อให้นักเรียนได้มาแสดงความสามารถทางภาษาและสนุกสนานร่วมกัน ในงานนี้ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ องค์นายกกิตติมศักดิ์ของสมาคมครูภาษาฝรั่งเศสแห่งประเทศไทยเสด็จเป็นประธาน พระราชทานรางวัลแก่ผู้ชนะการแข่งขัน การเรียนการสอนภาษาฝรั่งเศสในประเทศไทยจึงมีคุณภาพสูง และความพร้อมในทุกๆ ด้าน

ผู้ติดตาม

คลังบทความของบล็อก

เกี่ยวกับฉัน