โดนัท (Doughnut, Donut) เป็นขนมแป้งทอดหรืออบ ที่มีเนื้อคล้ายกับขนมเค้ก มีลักษณะกลมมีรูตรงกลางคล้ายกับห่วงยาง มีหลายรสชาติ ถ้าเป็นของไทยจะมีน้ำตาลอยู่ที่ผิวของขนม โดนัทสามารถแบ่งออกตามกรรมวิธีการผลิตได้เป็น2 ประเภท คือ โดนัทยีสต์ และโดนัทเค้ก
กระบวนการผลิตโดนัทยีสต์นั้น จะใช้ยีสต์เป็นส่วนประกอบในการหมักแป้งให้ขึ้นฟู ซึ่งแตกต่างจากโดนัทเค้ก จะใช้ผงฟูในการหมักแป้งให้ขึ้นฟู ดังนั้นรสชาติ และเนื้อสัมผัสจะมีความแตกต่างกัน เนื่องจากโดนัทเป็นเพียงแป้งทอดธรรมดา ไม่มีรสชาติ ผู้ผลิตจึงได้เพิ่มสิ่งต่างๆลงไป เพื่อให้โดนัทมีรสชาติที่ดีขึ้น อาทิ สอดไส้ คลุกน้ำตาล เคลือบหน้าโดนัทด้วยสีสรรต่างๆ
ปัจจุบันโดนัทเป็นที่นิยมอย่างมาก โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น สามารถหาซื้อได้ตั้งแต่บนห้างสรรพสินค้าจนถึงตลาดนัด ราคาขายแตกต่างกันไปตามแต่ละสถานที่
ขนมโดนัทซึ่งเป็นขนมพื้นเมืองของเนเธอแลนด์ แต่เดิมไม่มีรูตรงกลาง แต่เป็นแป้งทอดมีรสหวาน บางครั้งโรยน้ำตาลด้วย มีชื่อภาษาดัตช์ที่แปลเป็นไทยได้ว่า ขนมน้ำมัน (oil cake) ชาวยุโรปที่อพยพไปสหรัฐอเมริกาในต้นศตวรรษที่17 ได้นำขนมประเภทนี้ไปด้วยเนื่องจากขนมนี้มีรูปร่างกลมเล็กเท่าลูกวอลนัท ชาวนิวอิงแลนด์จึงเรียกขนมนี้ใหม่ว่า โด ซึ่งแปลว่า ก้อนแป้งรูตรงกลาง
โดนัทเพิ่งเกิดขึ้นในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 19เมื่อนาย แฮนสัน เกรกอรี กัปตันเรือชาวเมืองรอคพอท รัฐเมน เจาะรูแป้งโดนัทที่มารดากำลังจะทอด เพราะคิดว่าการขยายพื้นผิวหน้าของขนม จะทำให้ทอดได้ง่ายขึ้นและสุกเร็วขึ้น เพราะแต่เดิมนั้น ตรงกลางของโดนัทมักจะแฉะสุกไม่ทั่ว เมืองรอคพอทมีความภาคภูมิใจในรูของโดนัทมาก ถึงกับสร้างป้ายทองแดงจารึกเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ครั้งนี้เอาไว้
วันจันทร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2552
เคล็ด(ไม่)ลับ เลือกเสื้อผ้าให้เหมาะกับสีผิว
ผิวขาวอมชมพู เป็นสีผิวที่ใครๆ ก็อยากได้เพราะสีผิวนี้ให้ความรู้สึกว่าเจ้าของผิวเป็นคนที่มีสุขภาพดี ดังนั้นโทนสีของเสื้อผ้าที่เหมาะสม คือ สีอ่อนๆ สดใส เช่น ฟ้าอมเขียว ฟ้าอ่อน โกโก้ ชมพูอ่อน ส้ม เป็นต้น
ผิวขาวอมเหลือง เป็นความโชคดีของคนที่มีสีผิวนี้ที่เหมือนกับสีผิวขาวอมชมพู เพราะสามารถเลือกใส่โทนสีของเสื้อผ้าสีอะไรก็ได้ ทั้งแดง ดำ ชมพู ฟ้า เรียกว่ามีสีอะไรก็ใส่ได้หมดเลย
ผิวขาวซีด เป็นสีผิวที่ดูขาวมากจนทำให้ใครๆ คิดว่าสุขภาพไม่แข็งแรง ดังนั้นโทนสีที่เหมาะสมควรเป็นสีที่ค่อนข้างเข้มสักนิด เช่น แดงเข้ม เหลืองอมน้ำตาล เขียวเข้ม น้ำตาลไหม้ เป็นต้น เพราะสีเข้มเหล่านี้จะช่วยขับสีผิวให้ดูเข้มขึ้น
เคล็ด(ไม่)ลับ เลือกเสื้อผ้าให้เหมาะกับสีผิว
ผิวสองสี หรือผิวสีน้ำผึ้ง เป็นสีผิวที่ดูแล้วมีเสน่ห์ ซึ่งโทนสีที่เหมาะสมกับสีผิวนี้ คือ สีที่ค่อนข้างอ่อน โดยเฉพาะสีผสมต่างๆ เช่น น้ำตาลอมแดง เขียวอมฟ้า ชมพูอมส้ม เลือดนก เป็นต้น
ผิวคล้ำ ควรเลือกโทนสีที่ไม่อ่อนและสดจนเกินไป แต่ควรเลือกโทนสีเข้ม เช่นกรมท่า น้ำตาลเข้ม ม่วง เทา เขียวเข้ม เพราะสีของเสื้อผ้าเหล่านี้จะทำให้ดูกลมกลืนไปกับสีผิว และยังจะทำให้สีผิวดูขาวขึ้นกว่าเดิมด้วย
เคล็ดลับทำรายงานง่ายนิดเดียว
>>> หัวข้อเรื่อง
ตามปกติแล้วโดยทั่วไปอาจารย์จะกำหนดให้ แต่ถ้าหากน้องๆ มีโอกาสเลือกเองล่ะก็ น้องๆ ควรเลือกเรื่องที่สนใจ มีขอบเขตเนื้อหาไม่กว้างหรือแคบเกินไป และประเมินแล้วว่าตัวเองมีความสามารถในการหาแหล่งข้อมูลให้ค้นคว้าอย่างเพียงพอ วิธีนี้จะช่วยให้การทำรายงานสนุกและได้ความรู้เพิ่มขึ้นค่ะ >>> ค้นคว้าข้อมูลจากหลายๆ แหล่ง ข้อนี้ถือว่าเป็นจุดที่สำคัญมากนะคะ เพราะในการทำรายงานนั้น หากเรามีแหล่งที่มาของข้อมูลที่หลากหลายและมีความน่าเชื่อถือ เช่น หนังสือ อินเตอร์เน็ต จำทำให้น้องๆ ได้ความละเอียด แม่นยำ หลากหลาย และทันสมัยมากยิ่งขึ้น สำหรับการค้นจากหนังสือซึ่งเป็นวิธีพื้นฐานนั้น น้องๆ จะดูจากหนังสืออ้างอิง โดยศึกษาศัพท์เฉพาะไว้เป็นพื้นฐานของเรื่องที่จะทำ รวมทั้งดรรชนีวารสาร ซึ่งจะใช้ค้นบทความจากวารสาร
>>> เรียบเรียงข้อมูล น้องๆ ควรวางโครงเรื่องให้เป็นหมวดหมู่ตามลำดับ แบ่งเนื้อหาเป็นบท จากหัวข้อใหญ่ที่มีความสำคัญมาก ตามด้วยหัวข้อย่อยที่มีความสำคัญรองลงมา จากนั้นเขียนอย่างเป็นระบบ เพื่อความสะดวกในการทำความเข้าใจ
>>> ทำบรรณานุกรม เป็นสิ่งที่น้องๆ ควรทำเพราะจะเป็นสิ่งที่ยืนยันถึงความหน้าเชื่อถือของที่มาของข้อมูล และเป็นการอ้างอิงแหล่งข้อมูลที่ใช้ค้นคว้า เพื่อความสมบูรณ์ของเนื้อหารายงาน
>>> ชื่อเรื่อง เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยก็มาปิดท้ายด้วย 'ชื่อเรื่อง' ซึ่งควรตั้งให้กะทัดรัด ครอบคลุมเนื้อหา และวัตถุประสงค์ของรายงานที่ทำค่ะ
เคล็ดลับทำรายงานง่ายนิดเดียว
และนอกจากการเตรียมตัวในเรื่องของการทำรายงานแล้ว ในการนำเสนอหน้าชั้นก็สำคัญมากเช่นกันนะคะ น้องๆ dek-d.com ควรจำไว้ว่า ก่อนนำเสนอรายงานน้องๆ จะต้องทำความเข้าใจในเนื้อหาก่อน โดยอาจจดหัวข้อสำคัญไว้ดูเผื่อลืม รวมทั้งฝึกซ้อมพูดก่อนนำเสนอจริง เพื่อความพร้อมและความสมบูรณ์ของงานค่ะ
ตามปกติแล้วโดยทั่วไปอาจารย์จะกำหนดให้ แต่ถ้าหากน้องๆ มีโอกาสเลือกเองล่ะก็ น้องๆ ควรเลือกเรื่องที่สนใจ มีขอบเขตเนื้อหาไม่กว้างหรือแคบเกินไป และประเมินแล้วว่าตัวเองมีความสามารถในการหาแหล่งข้อมูลให้ค้นคว้าอย่างเพียงพอ วิธีนี้จะช่วยให้การทำรายงานสนุกและได้ความรู้เพิ่มขึ้นค่ะ >>> ค้นคว้าข้อมูลจากหลายๆ แหล่ง ข้อนี้ถือว่าเป็นจุดที่สำคัญมากนะคะ เพราะในการทำรายงานนั้น หากเรามีแหล่งที่มาของข้อมูลที่หลากหลายและมีความน่าเชื่อถือ เช่น หนังสือ อินเตอร์เน็ต จำทำให้น้องๆ ได้ความละเอียด แม่นยำ หลากหลาย และทันสมัยมากยิ่งขึ้น สำหรับการค้นจากหนังสือซึ่งเป็นวิธีพื้นฐานนั้น น้องๆ จะดูจากหนังสืออ้างอิง โดยศึกษาศัพท์เฉพาะไว้เป็นพื้นฐานของเรื่องที่จะทำ รวมทั้งดรรชนีวารสาร ซึ่งจะใช้ค้นบทความจากวารสาร
>>> เรียบเรียงข้อมูล น้องๆ ควรวางโครงเรื่องให้เป็นหมวดหมู่ตามลำดับ แบ่งเนื้อหาเป็นบท จากหัวข้อใหญ่ที่มีความสำคัญมาก ตามด้วยหัวข้อย่อยที่มีความสำคัญรองลงมา จากนั้นเขียนอย่างเป็นระบบ เพื่อความสะดวกในการทำความเข้าใจ
>>> ทำบรรณานุกรม เป็นสิ่งที่น้องๆ ควรทำเพราะจะเป็นสิ่งที่ยืนยันถึงความหน้าเชื่อถือของที่มาของข้อมูล และเป็นการอ้างอิงแหล่งข้อมูลที่ใช้ค้นคว้า เพื่อความสมบูรณ์ของเนื้อหารายงาน
>>> ชื่อเรื่อง เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยก็มาปิดท้ายด้วย 'ชื่อเรื่อง' ซึ่งควรตั้งให้กะทัดรัด ครอบคลุมเนื้อหา และวัตถุประสงค์ของรายงานที่ทำค่ะ
เคล็ดลับทำรายงานง่ายนิดเดียว
และนอกจากการเตรียมตัวในเรื่องของการทำรายงานแล้ว ในการนำเสนอหน้าชั้นก็สำคัญมากเช่นกันนะคะ น้องๆ dek-d.com ควรจำไว้ว่า ก่อนนำเสนอรายงานน้องๆ จะต้องทำความเข้าใจในเนื้อหาก่อน โดยอาจจดหัวข้อสำคัญไว้ดูเผื่อลืม รวมทั้งฝึกซ้อมพูดก่อนนำเสนอจริง เพื่อความพร้อมและความสมบูรณ์ของงานค่ะ
กินผักผลไม้อย่างไรให้ได้ 5 ส่วนต่อวัน
การกินผักผลไม้ให้ได้ห้าส่วนต่อวันนั้นมีด้วยกันหลากหลายวิธีนะคะ เช่น การเติมผักลงในซุปหรือแกงจืด การเพิ่มผักหรือผลไม้ตามฤดูกาลเป็นเครื่องเคียง หรือเลือกอาหารที่เน้นแนวมังสวิรัติมากขึ้น แต่ทั้งนี้การวัดขนาดคร่าวๆ ของผักผลไม้ที่เหมาะกับความต้องการของร่างกายเรานั้น ทำได้ง่ายมาก โดยต่อไปนี้คือการนับผักและผลไม้เป็นหนึ่งส่วน มาดูกันเลยค่ะ...
กินผักผลไม้อย่างไรให้ได้ 5 ส่วนต่อวัน
* น้ำผักหรือน้ำผลไม้คั้น 1 แก้วขนาดกลาง (ไม่ว่าน้องๆ ชาว Dek-D.com จะดื่มมากหรือน้อยแค่ไหนก็ตาม ก็จะนับเป็นหนึ่งส่วนต่อวันเท่านั้นค่ะ)
* ผลไม้หนึ่งชิ้นขนาดกลาง เช่น แอปเปิ้ล ส้ม สาลี่ หรือกล้วย
* ผลไม้ลูกเล็ก 2 ลูก เช่น ลูกพลัม ส้ม
* ผลไม้ลูกจิ๋ว 1 กำมือ เช่น เชอรี่ องุ่น หรือลูกเบอร์รี่ต่างๆ
* ผลไม้แห้ง 3 ชิ้น เช่น แอปริคอต (นับเป็นหนึ่งส่วนต่อวัน)
* ผักหรือผลไม้กระป๋อง 6 ช้อนโต๊ะ
* ผักที่ปรุงสุกแล้ว 3 ช้อนโต๊ะ
* สลัดผักหรือผลไม้ 1 ชามเล็ก
* เมล็ดถั่วต่างๆ ปรุงสุก 1/2 ถ้วยตวง หรือราว 1 กำมือ
กินผักผลไม้อย่างไรให้ได้ 5 ส่วนต่อวัน
* น้ำผักหรือน้ำผลไม้คั้น 1 แก้วขนาดกลาง (ไม่ว่าน้องๆ ชาว Dek-D.com จะดื่มมากหรือน้อยแค่ไหนก็ตาม ก็จะนับเป็นหนึ่งส่วนต่อวันเท่านั้นค่ะ)
* ผลไม้หนึ่งชิ้นขนาดกลาง เช่น แอปเปิ้ล ส้ม สาลี่ หรือกล้วย
* ผลไม้ลูกเล็ก 2 ลูก เช่น ลูกพลัม ส้ม
* ผลไม้ลูกจิ๋ว 1 กำมือ เช่น เชอรี่ องุ่น หรือลูกเบอร์รี่ต่างๆ
* ผลไม้แห้ง 3 ชิ้น เช่น แอปริคอต (นับเป็นหนึ่งส่วนต่อวัน)
* ผักหรือผลไม้กระป๋อง 6 ช้อนโต๊ะ
* ผักที่ปรุงสุกแล้ว 3 ช้อนโต๊ะ
* สลัดผักหรือผลไม้ 1 ชามเล็ก
* เมล็ดถั่วต่างๆ ปรุงสุก 1/2 ถ้วยตวง หรือราว 1 กำมือ
น้ำเก๊กฮวย
เก๊กฮวย เป็นไม้ดอกตระกูลเดียวกับทานตะวัน ปลูกมากทางภาคเหนือ เป็นไม้ล้มลุก ลำต้นตรง ลักษณะใบเป็นรูปใข่ ปลายใบแหลม ขอบเว้า ออกดอกเป็นกระจุก ดอกสีเหลืองขนาดเล็ก นำมาตากแห้งเก็บไว้ได้นาน
"เก็กฮวย"ช่วยแก้ปวดหัวได้
คราวน้พี่นัทจะมาบอกวิธีทำน้ำเก็กฮวยแบบง๊าย...ง่ายมาฝากจ้า
ใช้ดอกเก๊กฮวยแห้ง มาล้างให้สะอาด เติมน้ำลงในหม้อต้ม ใส่เก๊กฮวยลงในหม้อ ต้ม 2 นาที จนน้ำที่ต้มเป็นสีเหลือง แล้วนำมากรอง เอากากออก เติมน้ำตาลลงไป ต้มจนน้ำตาลละลาย จะได้น้ำเก๊กฮวยที่มีรสชาติหวานหอมชื่นใจ แถมเจ้าเก๊กฮวยประโยชน์และคุณค่าทางสมุนไพรแบบที่เราอาจคาดไม่ถึงด้วยนะเนี่ย- เก๊กฮวยพันธุ์เบญจมาศหนู มีน้ำมันหอมมระเหย มีรสขม- ดอก เป็นยาระงับอาการปวดศีรษะ ไข้หวัด ขับลมในลำไส้ บำรุงประสาท- ดอกและใบ ต้มละลายนิ่ว- ใบและต้นใช้รักษาโรคผิวหนังได้- เก๊กฮวยพันธุ์เบญจมาศสวน มีน้ำมันหอมมระเหย มีสารฝาดสมาน- ดอก ช่วยย่อยและเจริญอาหาร เป็นยาระบาย แก้กระหายน้ำ แก้อาการร้อนใน- ใบ แก้ปวดศีรษะ- ต้น ผสมกับพริกไทยดำรักษาโรคโกโนเรียย ถ้าสกัดเอาน้ำจากต้นสด ช่วยลดอาการอักเสบ
"เก็กฮวย"ช่วยแก้ปวดหัวได้
ความลับของ "โยเกิร์ต" ที่รอการเปิดเผย
“โยเกิร์ต" เป็นอาหารที่น้องๆ ชาว Dek-D.Com หลายคนชอบกินและนำมาใช้ประโยชน์ในเรื่องความสวยความงามกันใช่ไหมจ๊ะ แล้วรู้กันรึเปล่าว่าอาหารชนิดนี้มีความลับหลายอย่างซ่อนอยู่ ชนิดที่ว่าน้องๆ อาจจะไม่เคยรู้มาก่อนเลย.....
ความลับของ "โยเกิร์ต" ที่รอการเปิดเผย
ท้องเสีย!! ในโยเกิร์ตนั้นมีเชื้อจุลินทรีย์ที่ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เราเกิดอาการท้องเสียได้ ดังนั้นการกินในเวลาที่ท้องเสียนั้นจึงสามารถทำให้หยุดถ่ายหรือถ่ายน้อยลง
โรคหัวใจ!! "คอนจูเกตเต็ดไลโนเลอิก" เป็นไขมันที่มีอยู่ในโยเกิร์ต ที่ช่วยป้องกันโรคหัวใจ
มีสารอาหารถึง 11 ชนิด!! การกินโยเกิร์ตเป็นประจำจะทำให้อายุยืนและแข็งแรงได้ นอกจากนี้ในโยเกิร์ตไขมันต่ำ 1 ถ้วย ยังมีสารอาหารมากมาย อาทิ ไอโอดีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินบี 2 โปรตีน วิตามินบี 12 ทริปโทฟาน โพแทสเซียม โมลิปเดนัม สังกะสี และวิตามินบี 5 อีกด้วย
แคลเซียมสูง!! กรดแลกติกที่อยู่ในในโยเกิร์ตจะช่วยย่อยแคลเซียมให้เล็กลง ทำให้ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้ และนอกจากนี้อาหารชนิดนี้ยังมีโปรตีนและแคลเซียมมากกว่านมธรรมดาอีกด้วย
แลคโตบาสิลัส!! เป็นจุลินทรีย์ที่ร่างกายของเราต้องการ เพราะมันจะเข้าไปช่วยหยุดการเจริญเติบโตของเชื้อ "เฮลิโคแบคเตอร์ เอชไพโลไร" ที่จะทำให้เป็นโรคกระเพาะ ลดการอักแสบของลำไส้และไขข้อได้
ความลับของ "โยเกิร์ต" ที่รอการเปิดเผย
รอบเดือน!! ในช่วงเวลาที่น้องๆ เป็นวันนั้นของเดือนควรที่จะกินโยเกิร์ตเป็นประจำนะจ๊ะ และจุลินทรีย์ที่มีอยู่ในอาหารชนิดนี้ยังช่วยป้องกันการเป็นโรคมะเร็งปากมดลูกได้
ป้องกันโรคภัย!! เนื่องจากเป้นอาหารที่มีแคลเซียมสูง จึงทำให้ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน , ความดันโลหิตสูง , มะเร็งลำไส้ และเป็นตัวกระตุ้นระบบเผาผลาญที่จะทำให้น้องๆ มีหุ่นที่ผอมเพรียว
ลดกลิ่นปาก!! การกินโยเกิร์ตเป็นการช่วยทำความสะอาดปาก และช่วยลดกลิ่นปากรวมถึงโรคเหงือกอีกด้วย
เพิ่มภูมิต้านทาน!! แบคทีเรียในโยเกิร์ตทำให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามินเคและบีในลำไส้ได้ดีขึ้น
เพื่อนแท้...คุณเคยมีหรือเปล่า
ข - เ ข้ า ใ จ เ ร า
ค - ค อ ย เ ป็ น กำ ลั ง ใ จ ใ ห้ เ ร า
ง - ง้ อ เ ร า เ มื่ อ รู้ ตั ว ว่ า เ ข า ผิ ด
จ - จั บ มื อ เ ร า เ มื่ อ ต้ อ ง ก า ร กำ ลั ง ใ จ
ฉ - เ ฉ ย กั บ ค ว า ม ใ จ ร้ อ น ข อ ง เ ร า
ช - ช่ ว ย เ ห ลื อ เ ร า
ซ - ซื่ อ สั ต ย์ กั บ เ ร า ญ า ติ ดี กั บ เ ร า เ ส ม อ
ด - เ ดิ น เ คี ย ง ข้ า ง เ ร า
ต - ติ ด ต า ม ข่ า ว ค ร า ว ค ว า ม เ ป็ น ไ ป ข อ ง เ ร า
ถ - ไ ถ่ ถ า ม ทุ ก ข์ สุ ข
ท - ทำ ใ ห้ ชี วิ ต ข อ ง เ ร า เ ป ลี่ ย น ไ ป
ธ - ธั ม ม ะ ธั ม โ ม กั บ เ ร า
น - นั บ ถื อ เ ร า แ ล ะ น่ า รั ก ใ น ส า ย ต า ข อ ง เ ร า
บ - บ อ ก ค ว า ม จ ริ ง แ ก่ เ ร า
ป - ป ล อ บ ใ จ เ มื่ อ เ ร า ท้ อ
ผ - ผ า ย มื อ ต้ อ น รั บ เ ร า เ ส ม อ
ฝ - ฝ า ก ค ว า ม จ ริ ง ใ จ ไ ว้ กั บ เ ร า
พ - เ พิ่ ม พ ลั ง ใ ห้ แ ก่ เ ร า
ฟ - ฟั ง เ ร า เ ส ม อ
ภ - ภู มิ ใ จ ใ น ตั ว เ ร า
ม - ม อ บ สิ่ ง ดี ดี แ ก่ เ ร า
ย - ย ก โ ท ษ ใ ห้ กั บ ข้ อ ผิ ด พ ล า ด ข อ ง เ ร า
ร - รั ก ที่ เ ร า เ ป็ น เ ร า
ล - ล ะ เ อี ย ด อ่ อ น กั บ ค ว า ม รู้ สึ ก ข อ ง เ ร า
ว - ไ ว้ ใ จ เ ร า
ศ - ศึ ก ษ า นิ สั ย ที่ แ ท้ จ ริ ง ข อ ง เ ร า
ส - สั ง เ ก ต ค ว า ม เ ป ลี่ ย น แ ป ล ง ใ น ตั ว เ ร า
ห - เ ห็ น คุ ณ ค่ า ข อ ง เ ร า
อ - อ ธิ บ า ย ใ น สิ่ ง ที่ เ ร า ไ ม่ เ ข้ า ใ จ
ฮ - เ ฮ ฮ า กั บ เ ร า ไ ด้ ทุ ก เ ว ล า ...
* ....มองในมุมเพื่อน
ความหมายดีจริงนะ............
ใช้ "มือถือ" และ "หูฟัง" มากเกินไปอาจจะ....
มือถือ >> การคุยโทรศัพท์มือถือติดต่อกันเป็นเวลานาน ทำให้ติดเชื้อโรคต่างๆ ได้ง่าย เพราะความร้อนจากโทรศัพท์จะเข้าไปอยู่ในหู ทำให้เกิดอาการคัน ซึ่งเมื่อน้องๆ แคะ หรือเกาแล้วจะทำให้ผิวหนังเป็นแผล ดังนั้นเชื้อโรคต่างๆ จึงสามารถเข้าสู่แผลได้ง่ายขึ้น ทำให้ช่องหูเป็นสิวหรืออักแสบได้ นอกจากนี้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากโทรศัพท์ยังเป็นตัวการทำลายเส้นประสาทในรูหู และเซลล์สมองอีกด้วย ทำให้เป็นเนื้องอกขึ้นมาได้
วิธีป้องกัน
ถ้าน้องๆ รู้ตัวว่าเป็นขาเม้าท์ชอบคุยโทรศัพท์เป็นเวลานานๆ ล่ะก็ พี่ปัดขอแนะนำให้ใช้สมอลล์ทอล์ค หรือบูลทูธแทน เพราะจะช่วยป้องกันคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้
นำสำลีจุ่มแอลกอฮอล์เช็ดทำความสะอาดโทรศัพท์มือถือวันละ 2 ครั้ง เพื่อเป็นการฆ่าเชื้อโรค
ใช้ "มือถือ" และ "หูฟัง" มากเกินไปอาจจะ....
หูฟัง >> การใช้ฟังเพลงติดต่อเป็นเวลานาน ทำให้เกิดความดันของคลื่นเสียง ซึ่งจะทำลายเซลล์ประสาทหูและเซลล์ขนในหู แต่ถ้าได้ยินเสียงเหมือนแมงหวี่ร้อง หรือเสียงวิทยุจูนผิดคลื่นตลอดเวลาล่ะก็ แสดงว่าน้องๆ มีอาการประสาทรับเสียงเสียงเสื่อมนะ นอกจากนี้หูฟังที่ใช้ฟังเพลงนั้น น้องๆ รู้กันรึเปล่าจ๊ะว่าเป็นแหล่งสะสมเชื้อแบคทีเรียและเชื้อโรค ซึ่งจะทำให้เป็นโรคหนองในหู และการอักแสบในช่องหูได้
วิธีป้องกัน
น้องๆ ควรที่จะเปิดเสียงในเครื่องเล่นเอ็มพี 3ให้มีระดับความดังเพียงแค่ครึ่งเดียวของระดับเสียงที่เครื่องมีอยู่นะจ๊ะ
เลือกฟังเพลงในช่วงเวลาที่ต้องการเท่านั้น เพื่อเป็นการช่วยหยุดพักการทำงานของหู
หลีกเลี่ยงการใช้หูฟังร่วมกับผู้อื่น เพราะอาจจะทำให้ติดเชื้อโรคได้ ควรที่จะเปลี่ยนฟองน้ำและทำความสะอาดหูฟังเป็นประจำ
ใช้ "มือถือ" และ "หูฟัง" มากเกินไปอาจจะ....
อากาศ >> ฝุ่นละอองและควันรถทำให้เป็นโรคในระบบทางเดินหายใจได้ ดังนั้นคนที่เป็นโรคภูมิแพ้และเป็นหวัดบ่อย จึงต้องระมัดระวังไม่ปล่อยให้ลุกลานจนเกิดอากาศอักแสบหลังโพรงจมูกและคอ เพราะถ้าเป็นแล้วล่ะก็เชื้อโรคจะเดินทางมาที่หูทำให้เป็นโรคหูน้ำหนวกได้
วิธีป้องกัน
น้องๆ จะต้องรักษาสุขภาพของตัวเองให้แข็งแรง เพื่อป้องกันการเป็นโรคภูมิแพ้และเป็นหวัด
หากเป็นหวัดต้องคอยสังเกตตัวเองว่ามีของเหลงลักษณะเหมือนเลือดผสมหนองไหลออกมาจากรูหูรึเปล่า และถ้ามีอาการปวดหูด้วยล่ะก็ น้องๆ จะต้องรีบไปหาหมอโดยด่วน เพราะแก้วหูอาจจะอักแสบจนถึงขั้นทะลุแล้วก็ได้นะจ๊ะ
วิธีป้องกัน
ถ้าน้องๆ รู้ตัวว่าเป็นขาเม้าท์ชอบคุยโทรศัพท์เป็นเวลานานๆ ล่ะก็ พี่ปัดขอแนะนำให้ใช้สมอลล์ทอล์ค หรือบูลทูธแทน เพราะจะช่วยป้องกันคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้
นำสำลีจุ่มแอลกอฮอล์เช็ดทำความสะอาดโทรศัพท์มือถือวันละ 2 ครั้ง เพื่อเป็นการฆ่าเชื้อโรค
ใช้ "มือถือ" และ "หูฟัง" มากเกินไปอาจจะ....
หูฟัง >> การใช้ฟังเพลงติดต่อเป็นเวลานาน ทำให้เกิดความดันของคลื่นเสียง ซึ่งจะทำลายเซลล์ประสาทหูและเซลล์ขนในหู แต่ถ้าได้ยินเสียงเหมือนแมงหวี่ร้อง หรือเสียงวิทยุจูนผิดคลื่นตลอดเวลาล่ะก็ แสดงว่าน้องๆ มีอาการประสาทรับเสียงเสียงเสื่อมนะ นอกจากนี้หูฟังที่ใช้ฟังเพลงนั้น น้องๆ รู้กันรึเปล่าจ๊ะว่าเป็นแหล่งสะสมเชื้อแบคทีเรียและเชื้อโรค ซึ่งจะทำให้เป็นโรคหนองในหู และการอักแสบในช่องหูได้
วิธีป้องกัน
น้องๆ ควรที่จะเปิดเสียงในเครื่องเล่นเอ็มพี 3ให้มีระดับความดังเพียงแค่ครึ่งเดียวของระดับเสียงที่เครื่องมีอยู่นะจ๊ะ
เลือกฟังเพลงในช่วงเวลาที่ต้องการเท่านั้น เพื่อเป็นการช่วยหยุดพักการทำงานของหู
หลีกเลี่ยงการใช้หูฟังร่วมกับผู้อื่น เพราะอาจจะทำให้ติดเชื้อโรคได้ ควรที่จะเปลี่ยนฟองน้ำและทำความสะอาดหูฟังเป็นประจำ
ใช้ "มือถือ" และ "หูฟัง" มากเกินไปอาจจะ....
อากาศ >> ฝุ่นละอองและควันรถทำให้เป็นโรคในระบบทางเดินหายใจได้ ดังนั้นคนที่เป็นโรคภูมิแพ้และเป็นหวัดบ่อย จึงต้องระมัดระวังไม่ปล่อยให้ลุกลานจนเกิดอากาศอักแสบหลังโพรงจมูกและคอ เพราะถ้าเป็นแล้วล่ะก็เชื้อโรคจะเดินทางมาที่หูทำให้เป็นโรคหูน้ำหนวกได้
วิธีป้องกัน
น้องๆ จะต้องรักษาสุขภาพของตัวเองให้แข็งแรง เพื่อป้องกันการเป็นโรคภูมิแพ้และเป็นหวัด
หากเป็นหวัดต้องคอยสังเกตตัวเองว่ามีของเหลงลักษณะเหมือนเลือดผสมหนองไหลออกมาจากรูหูรึเปล่า และถ้ามีอาการปวดหูด้วยล่ะก็ น้องๆ จะต้องรีบไปหาหมอโดยด่วน เพราะแก้วหูอาจจะอักแสบจนถึงขั้นทะลุแล้วก็ได้นะจ๊ะ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
ผู้ติดตาม
คลังบทความของบล็อก
-
►
2010
(72)
- ► กุมภาพันธ์ (6)
-
▼
2009
(67)
-
▼
กันยายน
(9)
- ทำไมโดนัท...ถึงต้องมี " รู "
- เคล็ด(ไม่)ลับ เลือกเสื้อผ้าให้เหมาะกับสีผิว
- เคล็ดลับทำรายงานง่ายนิดเดียว
- กินผักผลไม้อย่างไรให้ได้ 5 ส่วนต่อวัน
- น้ำเก๊กฮวยเก๊กฮวย เป็นไม้ดอกตระกูลเดียวกับทานตะวัน...
- ไม่มีชื่อ
- ความลับของ "โยเกิร์ต" ที่รอการเปิดเผย
- เพื่อนแท้...คุณเคยมีหรือเปล่า
- ใช้ "มือถือ" และ "หูฟัง" มากเกินไปอาจจะ....
-
▼
กันยายน
(9)