ประเทศออสเตรีย : กรุงเวียนนา
ที่ตั้ง ออสเตรียตั้งอยู่ทางใต้ของทวีปยุโรปตอนกลาง ทำให้เป็นจุดเชื่อมต่อที่สำคัญระหว่างยุโรปตะวันออก กับยุโรปตะวันตก มีพรมแดนติด 8 ประเทศ คือ เยอรมัน สาธารณรัฐเช็ค สาธารณรัฐสโลวัค ฮังการี สโลเวเนีย อิตาลี สวิตเซอร์แลนด์ และลิกเตนสไตน์
พื้นที่ 83,855 ตารางกิโลเมตร (เล็กกว่าไทย 6 เท่า)
ภูมิประเทศ ประกอบด้วยเทือกเขาสูงซึ่งอุดมด้วยแร่ธาตุและที่ราบลุ่มเพื่อการเพาะปลูก แม่น้ำดานูบไหลผ่านออสเตรียเป็น ระยะทาง 220 ไมล์ ร้อยละ 46 ของพื้นที่ประเทศเป็นป่าไม้ ออสเตรียมีภูมิประเทศที่สวยงามจึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของยุโรป มีนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมากในแต่ละปี
เมืองหลวง กรุงเวียนนาเป็นเมืองหลวงของออสเตรีย เป็นที่ตั้งของสำนักงานสหประชาชาติแห่งที่สาม และเป็นศูนย์กลางแห่งศิลปะการดนตรี
ประชากร 8 ล้านคน ร้อยละ 98 พูดภาษาเยอรมัน
ศาสนา ร้อยละ 78 นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาธอลิค ร้อยละ 5 นับถือนิกายโปรแตสแตนท์
มีผู้นับถือศาสนาอิสลามจำนวนประมาณ 160,000 คนกฎหมายออสเตรียให้เสรีภาพแก่คนที่มีอายุ 14 ปี ในการเลือกนับถือศาสนา
ข้อมูลทั่วไป
คนออสเตรียเป็นคนอนุรักษ์นิยมไม่ชอบความรุนแรง รักธรรมชาติ สนับสนุนรัฐสวัสดิการและความมั่นคงในการทำงาน และส่งเสริมการกระจายรายได้ที่เป็นธรรม หลีกเลี่ยงความขัดแย้งและความรุนแรง และพยายามประสานผลประโยชน์ระหว่างกลุ่มต่าง ๆ ทำให้ออสเตรียเป็นประเทศที่มีความสงบเรียบร้อยและมั่นคง
ออสเตรียมีการผสานประโยชน์ที่ดีระหว่างนายจ้างและลูกจ้างทำให้แทบไม่มีการนัดหยุดงาน และช่วยให้อัตราการว่างงานออสเตรียอยู่ในระดับต่ำ
การเมือง การปกครอง
ออสเตรียเป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตย ประกอบด้วย 9 จังหวัด คือ Burgenland, Carinthia, Lower Austria, Upper Austria, Salzburg, Styria, Tirol, Vorarlberg และเวียนนา (ซึ่งเป็นเมืองหลวงและจังหวัด) แต่ละจังหวัดมีอำนาจปกครองเป็นอิสระ
โดยทั่วไปจังหวัดมีอำนาจในการออกกฎหมายและระเบียบข้อบังคับเพื่อการปกครองตนเองเกือบทุกเรื่อง ยกเว้น การต่างประเทศและการป้องกันประเทศ แต่ละจังหวัดมี Governor ซึ่งได้รับเลือกจากสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร มีสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดซึ่งมาจากการเลือกตั้ง
ออสเตรียมีประธานาธิบดีเป็นประมุขของประเทศ โดยได้รับเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน ดำรงตำแหน่งเป็นเวลา 6 ปี ส่วนนายกรัฐมนตรีได้รับการแต่งตั้งโดยประธานาธิบดีจากหัวหน้าพรรคที่ได้เสียงข้างมากในสภา ส่วนรัฐสภาประกอบด้วย สภาล่าง มีสมาชิก 183 คน ได้รับเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนทุก 4 ปี และสภาสูง มีสมาชิก 64 คน ได้รับเลือกจากสภาจังหวัด
ศาลเป็นผู้ใช้อำนาจตุลาการ มีศาลพิจารณาคดีแพ่งและคดีอาญา (โทษสูงสุดในคดีอาญา คือ จำคุกตลอดชีวิต ไม่มีโทษประหารชีวิต) และมีศาลพิเศษ คือ ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งตั้งขึ้นเพื่อให้ความคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนจากการละเมิดบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ของฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร และศาลปกครองให้ความคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน จากการละเมิดบทบัญญัติของกฎหมาย นอกเหนือจากรัฐธรรมนูญหรือการกระทำมิชอบโดยฝ่ายบริหาร
เศรษฐกิจ
เศรษฐกิจของออสเตรียพึ่งพาการผลิตภาคอุตสาหกรรมและรายได้จากการค้า การบริการและการท่องเที่ยวเป็นหลัก และเป็นประเทศที่มั่งคั่งมากประเทศหนึ่งในยุโรป มีรายได้ประชาชาติต่อหัว 24,000 เหรียญสหรัฐฯ ประชาชนมีการศึกษาสูงและ มีคุณภาพชีวิตที่ดี
อุตสาหกรรมการผลิตที่สำคัญ คือ เครื่องจักร อุปกรณ์อิเลคโทรนิกส์ เหมืองแร่ อุตสาหกรรมเคมีและสิ่งทอ การเกษตร สามารถผลิตได้เพียงพอบริโภคภายในประเทศ
ระบบเศรษฐกิจออสเตรียเป็นแบบเสรีนิยมผสมสังคมนิยม ประชาชนมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินและทรัพย์สิน แต่รัฐจะเข้ามีบทบาทในการดำเนินอุตสาหกรรมหลักที่สำคัญ และกิจการสาธารณูปโภค
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ออสเตรียดำเนินนโยบายเป็นกลางตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง และประสบความสำเร็จในการสถาปนากรุงเวียนนาเป็นสำนักงานแห่งที่สามขององค์การสหประชาชาติ เมื่อ ค.ศ. 1979
นโยบายเป็นกลางของออสเตรียเป็นไปในลักษณะ active neutrality โดยให้ความร่วมมือในการรักษาสันติภาพและให้ความช่วยเหลือด้านสิทธิมนุษยชนและการบรรเทาภัยพิบัติ
ไทย-ออสเตรีย
ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับออสเตรียมีมายาวนานกว่า 125 ปี ปัจจุบันไทยมีสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเวียนนา และมีสถานกงสุลกิตติมศักดิ์อยู่ที่เมือง Innsbruck, Salzburg และ Dornbine ส่วนออสเตรียมีสถานเอกอัครราชทูตอยู่ที่กรุงเทพฯ
วันเสาร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
กรุงโรม
นอกจากนี้ โรมยังเป็นที่ตั้งของนครรัฐวาติกัน ซึ่งเป็นดินแดนที่ประทับของพระสันตะปาปาแห่งศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาธอลิกอีกด้วย
เนื้อหา [ซ่อน]
1 ประวัติศาสตร์
2 เศรษฐกิจ
3 กีฬา
4 แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้] ประวัติศาสตร์
ดูบทความหลักที่ ประวัติศาสตร์โรม
โรมมีประวัติศาสตร์ยาวนานมากกว่า 2,800 ปี ตั้งอยู่บนเนินเขาทั้งเจ็ดริมฝั่งแม่น้ำไทเบอร์ตอนกลางของประเทศ โดยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรในอดีตมากมาย เช่น ราชอาณาจักรโรมัน สาธารณรัฐโรมัน และจักรวรรดิโรมัน โรมเคยเป็นเมืองที่มีบทบาทมากที่สุดของอารยธรรมตะวันตก และในอดีตได้เป็นอาณาจักรที่ใหญ่ที่สุดในโลก ปัจจุบันได้เป็นเมืองหลวงของประเทศอิตาลีตั้งแต่ ค.ศ. 1870
[แก้] เศรษฐกิจ
ประชากรในเขตของโรมผลิตจีดีพีได้ประมาณ 6.7% ของจีดีพีรวมทั้งประเทศ (97 พันล้านยูโร) อุตสาหกรรมหลักของโรมคือการท่องเที่ยว นอกจากนี้โรมยังเป็นศูนย์กลางการธนาคาร การพิมพ์ การประกันภัย และแฟชั่น
[แก้] กีฬา
โรมได้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 1960 และเป็นตัวแทนในการแข่งขันจัดการแข่งขัน โอลิมปิกฤดูร้อน 2016 กีฬาที่นิยมเล่นมากสุดคือฟุตบอลเช่นเดียวกับเมืองอื่นในประเทศ โดยมีสตาดีโอโอลิมปีโกเป็นสนามฟุตบอลประจำเมืองที่ได้เป็นสนามแข่งขัน ฟุตบอลโลก 1990 และเป็นสนามเหย้าของ สโมสรกีฬาโรมาและสโมสรกีฬาลาซีโอ นอกจากฟุตบอลแล้ว รักบี้เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น โดยมีสตาดีโอฟลามีนีโอเป็นสนามรักบี้สำหรับรักบี้ทีมชาติของอิตาลี ซึ่งได้เข้าร่วมการแข่งขันระดับชาติตั้งแต่ ค.ศ. 2000 โดยมีทีมที่มีชื่อเสียงคือ ยูนีโอเนรักบี้คาปีโตลีนา รักบี้โรมา และ สโมสรกีฬาลาซีโอ การแข่งขันจักรยานเริ่มเป็นที่นิยมภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โรมได้เป็นสถานที่จัดการแข่งขัน จีโรดีตาเลีย สองครั้งในปี ค.ศ. 1989 และ 2000 ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ จะมีการแข่งขันมาราธอนประจำปี นอกจากนี้โรมยังมีทีมกีฬาอาชีพที่เป็นที่รู้จักหลายอย่างเช่น พาลลาคาเนโตรเวร์ตุสโรมา (บาสเกสตบอล) สโมสรกีฬาลาซีโอ (แฮนด์บอล) โรมาวอลเลย์ เวอร์ตุสโรมา และ ลีเนอาเมดีกาชีรัมโรมา (วอลเลย์บอล) และ สโมสรกีฬาโรมา และสโมสรกีฬาลาซีโอ (โปโลน้ำ)
วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
ปัญหา Y2K
ในปัจจุบันระบบคอมพิวเตอร์มีบทบาทสำคัญในการนำมาใช้งานเพื่อ เพิ่มประสิทธิภาพ และประสิทธิผลในการทำงานในทุกๆด้านของโลกปัจจุบันทั้งงานของรัฐบาลบริษัทเอกชน องค์กรต่างๆ ทั่วโลก หน่วยงานต่างๆเหล่านี้กำลังเผชิญกับปัญหาจากระบบคอมพิวเตอร์ อันสืบเนื่องมาจากการมาถึงของปี ค.ศ. 2000 หรือที่ เรียกกันว่า " ปัญหาY2K " หรือ " ปัญหา MilleniumBug "ซึ่งทุกวินาที่ที่ผ่านไปในปี ค.ศ.1999นี้ล้วนมีความ หมายต่อความอยู่รอดของทุกองค์กรเป็นปัญหาทางธุรกิจและอุสาหกรรมจึงมีสื่อหลายแขนงที่ คอยให้ข้อมูลในการแก้ปัญหาY2Kสำหรับภาคอุตสาหกรรมซึ่งสำคัญมาในแต่ละประเทศก็ได้รับ ความสนใจไม่น้อยเพราะปัจจุบันเทคโนโลยีทางไมโครโพรเซสเซอร์(Microprosseser) ได้เข้าไป อยู่ในทุกโรงงานอาทิเช่น ในอุปกรณ์ควบคุมอย่าง PLC และระบบอัตโนมัติทั้งหลาย ,ระบบรักษา ความปลอดภัย ,ระบบควบคุมลิฟต์ ,ระบบควบคุมคลังสินค้า ,ระบบป้องกันเพลิงไหม้ และระบบ อิเล็กทรอนิกส์ และอื่นๆอีกมากที่ต้องได้มีการประเมินและสำรวจ ปัญหาY2K จึงน่าเป็นห่วงมากถ้าขาดความสนใจจากผู้ดำเนินธุรกิจอุตสาหกรรมเพราะความเสียหายที่ จะเกิดขึ้นหลังเที่ยงคืนวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ.1999 อาจร้ายแรงเกินกว่าจะรับมือได้ ซึ่งปัญหาดังกล่าวอาจ กล่าวได้ว่าเปรียบเสมือนระเบิดเวลาที่ตั้งไว้ตั้งแต่มีระบบคอมพิวเตอร์เกิดขึ้น บทความนี้จึงต้องการให้ ผู้ดำเนินธุรกิจและองค์กรต่างๆเริ่มต้นแก้ปัญหาได้ถูกต้องและรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าปัญหา Y2K แสดง ผลในปี ค.ศ. 2000
ปัญหาปี ค.ศ. 2000 (Y2K) คืออะไร
ย้อนหลังไปเมื่อคอมพิวเตอร์ได้รับการออกแบบขึ้นนั้น การเขียนโปรแกรม หรือsoftware จะมีการเก็บข้อมูลเวลาในรูปแบบ DD/MM/YY โดยที่ YY แทนปี ค.ศ. 19YY เช่น 84 แทนปี ค.ศ. 1984 เพื่อประหยัดเนื้อที่ในการจัดเก็บข้อมูล ซึ่งอาจมองว่าประหยัดแค่ 2 หลัก แต่หากมองเป็นระบบใหญ่ๆ ก็จะประหยัดได้มากเป็นการช่วยลดค่าใช้จ่ายในการทำงาน เนื่องจากในสมัยนั้นราคาของอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับระบบคอมพิวเตอร์ ทั้งหลายมีราคาสูงกว่าปัจจุบันมาก ผลที่กำลังจะเกิดขึ้นจากเหตุผลดังกล่าวของการจัดเก็บข้อมูลในรูปแบบเลขปี 2 ตำแหน่งนี้เกิดความสับสน และไม่รู้ของระบบหรือแอพพลิเคชั่นโปรแกรมที่ต้องใช้วันที่ในการคำนวณ เปรียบเทียบ จัดเรียงลำดับเมื่อการก้าวข้ามของเวลาจาก 1999 ไปสู่ 2000 แต่ระบบจะรับรู้ในรูปเลข 2 หลักคือ 99 ไปสู่ 00 โดย 00 นี้ระบบไม่รู้ว่าเป็นปี 2000 ตรงนี้เองทำให้เกิดผลลัพธ์ในการทำงานที่ผิดพลาดได้
Y2K หรือ Way To Cry
ปัญหาเทคนิคง่าย ๆ ดังกล่าวนั้นแทรกตัวอยู่อย่างซับซ้อนในการทำงานต่างๆ ที่มีเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เข้ามาเกี่ยวข้อง จึงไม่ใช่เรื่องง่ายในการประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นรวมถึงแผนในการรับมือต่างๆ ซึ่งตัวอย่างของเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายชี้ว่ามีโอกาสสูงที่จะมีปัญหาการทำงานเมื่อถึงปี ค.ศ. 2000 เช่น
แหล่งผลิตภัณฑ์งานต่าง ๆ เช่น โรงงานผลิตกระแสไฟฟ้า , โรงงานกลั่นน้ำมัน ซึ่งที่สวีเดนมีข่าวว่าได้ประกาศจะปิดโรงงานผลิตไฟฟ้าปรมาณู ชั่วคราวระหว่างปลายปี ค.ศ. 1999 ถึงต้นปี ค.ศ. 2000 เพราะได้จำลองสถานการณ์ปี ค.ศ.2000 แล้วพบว่าระบบการส่งน้ำซึ่งเป็นระบบที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับเตาปรมาณู จนมีปัญหา Y2K แล้วถ้าไม่แน่ใจว่าจะแก้ได้เต็มที่ก็ควรจะเปิดเตาดังกล่าวแล้ว
ระบบสื่อสารและโทรคมนาคม ได้แก่ ระบบสื่อสารทางโทรศัพท์เคลื่อนที่ ระบบสื่อสารข้อมูลผ่านเคเบิ้ลใต้น้ำ ระบบสื่อสารผ่านดาวเทียม รวมทั้งระบบอินเตอร์เน็ต
ระบบคมนาคม ได้แก่ ระบบควบคุมการเดินเรือ , ระบบควบคุมทางจราจรทางอากาศ , ระบบควบคุมสัญญาณไฟจราจร รวมไปถึงระบบคอมพิวเตอร์ที่ติดตั้งเพื่อโปรแกรมการทำงานในยานพาหนะต่าง ๆ ทั้งในรถยนต์ เครื่องบิน เรือเดินทะเล
ระบบการสาธารณสุข ได้แก่ อุปกรณ์การแพทย์ต่าง ๆ , เครื่องฉายรังสี , เครื่องผลิตไฟฟ้าฉุกเฉินในโรงพยาบาล , อุปกรณ์และระบบในการผลิตยา
ระบบการเงินทางธนาคาร ได้แก่ ระบบบัญชีต่าง ๆ , ตู้ ATM
ระบบการประปาและระบบระบายน้ำทิ้ง มีระบบคอมพิวเตอร์ควบคุมระบบระบายน้ำรวมไปถึงเครื่องมือวิเคราะห์น้ำ
ระบบการผลิตจัดเก็บและการจำหน่าย ได้แก่ โรงงาน , ร้านค้า , ซูเปอร์มาร์เก็ตยุคใหม่ที่มีการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ควบคุมการผลิต ,ควบคุมรายการวัสดุและสินค้าในสต๊อก ,การชำระเงินด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์
ระบบควบคุมอาคาร ได้แก่ ระบบลิฟต์ , ระบบไฟฟ้า , ระบบควบคุมกระแสไฟฟ้า , ระบบปรับอากาศ , ระบบเตือนภัย และรักษาความปลอดภัยต่าง ๆ ทั้งระบบป้องกันอัคคีภัย , ระบบสัญญาณกันขโมย
ระบบการทำงานในโรงงาน ทั้งระบบการผลิต การจัดเก็บวัสดุสินค้า , ระบบควบคุมอาคาร รวมถึงระบบและอุปกรณ์ที่ใช้ในการควบคุมการทำงานของเครื่องมือ เครื่องจักร หรือโรงงานที่เรียกกันว่าระบบแบบฝังตัว (Embedded System)
ปัญหา Y2K เป็นปัญหาทางด้านธุรกิจและอุตสาหกรรม
ถึงเวลานี้ปัญหา Y2Kไม่ใช้ปัญหาทางเทคนิคเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ปัญหาได้ขยายเป็นปัญหาทางธุรกิจและการบริหารงานขององค์กรทั้งของท่านและอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งแน่นอนย่อมส่งผลกระทบต่อลูกค้าและผู้ขายสินค้าให้องค์กรด้วย ซึ่งเมื่อมองในภาพรวม เครือข่ายการดำเนินธุรกิจติดต่อในอุตสาหกรรมบ้านเราย่อมเกิดผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หากพิจารณาด้านการอุตสาหกรรมกระบวนการผลิต ระบบควบคุมการผลิตอาจเกิดล้มเหลวเนื่องจากปัญหา Y2K ในระบบแบบฝังตัว (Embedded System) ที่เกิดกับอุปกรณ์ที่ใช้ควบคุมตรวจสอบ หรือช่วยในการทำงาน ของเครื่องมือเครื่องจักรรวมทั้งในฮาร์คแวร์ของระบบคอมพิวเตอร์ที่ใช้ควบคุมสายการผลิตต่างๆ ในกระบวนการผลิตของโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ
โรงงานอุตสาหกรรมจำนวนหนึ่งอาจต้องหยุดการผลิตชั่วคราว แต่ผลกระทบจะไม่มี เพียงเท่านี้ ซึ่งบางอุตสาหกรรม Output จากอุตสาหกรรมประเภทหนึ่งยังต้องส่งเป็น Input ยังอีกอุตสาหกรรมประเภท หนึ่ง ซึ่งย่อมจะส่งผลกระทบเป็นห่วงโซ่เกิดขึ้นในวงการอุตสาหกรรม เกิดการชะงักและล้าช้าต่าง ๆ ส่งผลต่อการละเมิดข้อตกลงสัญญาต่างๆ ทางกฎหมาย เช่นการส่งมอบสินค้า การชำระเงิน สัญญาเงินกู้ต่าง ๆ อาจถูกปรับเสียค่าใช้จ่ายเกิดความเสียหายต่อธุรกิจ นอกจากนี้ปัญหา Y2K ยังมีผลกระทบต่อการใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ในงานธุรกิจ (Electronics Commerce) อันได้แก่ ระบบสถาบันการเงิน ระบบเครดิต ระบบโอนเงิน และระบบตลาดหุ้นซึ่งมีการเชื่อมโยงกันไว้อย่างซับซ้อน
ที่กล่าวมาเป็นผลกระทบโดยรวมส่วนหนึ่งที่อาจเกิดขึ้นได้ ในด้านธุรกิจ และอุตสาหกรรมที่เสนอมุมมองเพื่อให้เกิดการ “ ตระหนักแต่อย่าตระหนก ” กับปัญหาเนื่องจากผลกระทบที่กล่าวมาจากปัญหาY2K ในบางเรื่องได้รับข้อมูลยืนยันว่าเกิดขึ้นได้จริง บางเรื่องมีโอกาสสูงที่อาจจะเกิดขึ้น และบางเรื่องอาจได้รับผลกระทบบ้างเล็กน้อย ทั้งนี้ทั้งนั้นผลกระทบต่าง ๆจากปัญหา Y2K เป็นเพียงการคาดการณ์ว่า “อาจจะ” เกิดขึ้นเท่านั้น ประเด็นสำคัญอยู่ที่ความไม่ประมาทหรือละเลยและน่าที่จะตระหนักถึงการดำเนินการเพื่อรับมือกับผลกระทบต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นจากปัญหาปี ค.ศ. 2000 หรือ ปัญหา Y2K ที่กำลังมาเยือนในอนาคตอันใกล้นี้ยึดสุภาษิตไทยเรา “กันไว้ดีกว่าแก้” กันดีกว่า เพราะอีกประการสำคัญหนึ่งในการแก้ปัญหา Y2K คือ ค่าใช้จ่ายและทีมงาน ซึ่งหากยิ่งเวลาล่วงเลยไปการหาทีมงาน ทรัพยากรมาแก้ไขได้ยาก ค่าใช้จ่ายก็จะสูงขึ้น และอาจเหลือเวลาไม่พอแก้ไขแล้วแม้ว่าจะมีเงินสนับสนุนเท่าไรก็ตาม และการที่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเรื่องค่าใช้จ่ายจึงทำให้เกิดภาวะความไม่มั่นใจเกิดขึ้นกับธุรกิจในทุกระบบในองค์กร ทั้งงานด้านอุตสาหกรรม รวมถึงงานด้านการบริการ จึงต้องได้รับการตรวจสอบทั้งหมดให้สอดคล้องกับประเด็นทางธุรกิจด้วยเหตุผลหลัก ๆ คือ
ธุรกิจจะต้องยืนหยัดได้เมื่อถึงปี ค.ศ. 2000 และหลังจากนั้น
ต้องลดความเสี่ยงของผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับการดำเนินในงานธุรกิจ
ลดผลกระทบในทางกลยุทธ์ทางธุรกิจ
จึงทำให้เห็นประเด็นหลักสำคัญที่ต้องมุ่งเน้น คือ งานด้านการบริหารงาน ในการดำเนินการรับมือกับปัญหา Y2K ที่อาจจะเกิดขึ้น
ปัญหา Y2K ปัญหาทางการบริหาร
ปัญหา Y2K เป็นปัญหาทางการบริหารมากกว่าปัญหาทางเทคนิค ดังนั้น การวางแผนและการควบคุมโครงการรับมือปัญหา Y2K การพิจารณาเกี่ยวกับความสามารถในการบริหารโครงการเพื่อให้งานบรรลุตามที่กำหนดเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง นักวิเคราะห์เชื่อว่าความพร้อมรองรับต่อปี ค.ศ. 2000 จะเป็นตัวกำหนด ความเป็นผู้แพ้ผู้ชนะในวงการธุรกิจ และอุตสาหกรรมเลยทีเดียว
เตรียมตัวอย่างไรเพื่อแก้ปัญหา Y2K
ปัญหา Y2Kจะกระทบต่อธุรกิจโลกไม่มาก ถ้าทุกองค์กรต่างเร่งแก้ปัญหาให้ทันเวลา โดยเฉพาะแกนหลักของธุรกิจ เช่น ธนาคาร โรงไฟฟ้า ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์พื้นฐาน ระบบสายการบิน โดยแต่ละองค์กรต้องประเมินทั้งภายในบริษัทตัวเอง ซัพพลายเออร์ และลูกค้าของบริษัทว่า “พร้อมหรือยัง?สำหรับการย่างก้าวสู่ปี ค.ศ.2000”และที่สำคัญต้องมีแผนฉุกเฉินรองรับเพื่อลดข้อพิพาททางกฎหมาย หากเกิดความเสียหายในรูปจำนวนเงินและก่อนที่จะสิ้นสุดปี ค.ศ.1999 ทุกองค์กรที่ค้าขายหรือติดต่อกันก็ต้องเปิดเผยข้อมูลและสร้างความมั่นใจว่า “การค้าขายจะเกิดขึ้นอย่างถูกต้องเมื่อปี ค.ศ.2000 มาถึง” ซึ่งขั้นตอนต่าง ๆ ในการฝ่าวิกฤตปี ค.ศ.2000 ที่สามารถนำไปใช้ได้ มีรายละเอียดดังนี้
ตระหนักรู้ถึงปัญหา (Awareness) ต้องยอมรับในปัญหานี้ก่อน เริ่มตั้งแต่ระดับพนักงานทั่วไปจนถึงผู้อำนวยการบริษัท และพร้อมใจกันค้นหาว่าปัญหาจะเกิดจากที่ไหนในระบบบ้าง จากนั้นก็เริ่มกำหนดผู้รับผิดชอบในการแก้ปัญหา
การสำรวจและการประเมินปัญหา (Assessment) ดูว่าส่วนประกอบทางเทคโนโลยีใดจะได้รับผลกระทบจากปัญหาปี 2000 บ้าง โดยต้องประเมินทั้งภายในองค์กร ซัพพลายเออร์และลูกค้าไปพร้อมกัน
ดำเนินการแก้ไขปัญหา (Renovation) เมื่อรู้ว่าปัญหาอยู่ตรงไหนต้องทำการปรับปรุงหรือหาเทคโนโลยีอื่นมาแทน และขจัดความเสี่ยจากภายนอกด้วยการตรวจสอบแก้ไขที่ต้นตอหรือแหล่งที่มาของเทคโนโลยีที่เข้ามาแทนด้วย
การทดสอบและยืนยันความถูกต้อง (Testing/Validation) นับเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ถ้าอุปกรณ์ใดไม่ผ่านการทดสอบย่อมไม่อาจแน่ใจว่าสามารถรองรับปัญหา Y2K ได้ฉะนั้นระบบใดได้รับการการแก้ไขแล้วจะต้องผ่านการทดสอบให้แน่ใจว่าปัญหาได้หมดไปแล้วและพร้อมที่จะนำไปติดตั้งจริง
การดำเนินการติดตั้ง (Implementation) เมื่อทำการทดสอบเสร็จแล้วต้องนำเอาเทคโนโลยีใหม่ไปติดตั้งใช้งาน และตกลงกับ คู่ค้าหรือภายในองค์กรว่าจะใช้ร่วมกัน
การจัดทำแผนฉุกเฉิน (Contingency plan)เพื่อรองรับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้โดยปัจจัยอื่นๆ แม้ว่าจะได้ดำเนินการแก้ปัญหาดังกล่าวไปแล้ว นอกจากนี้จะต้องเตรียมความพร้อมไว้แม้จะผ่านวันที่ 1 มกราคม ค.ศ.2000 ไปแล้วเพราะปัญหาอาจเกิดขึ้นได้ในช่วงเวลาที่ห่างออกไป
อะไรบ้างที่ต้องได้รับการประเมิน
การสำรวจความพร้อมต่อปัญหา Y2K จะเป็นแนวทางให้ทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นผู้แทนจำหน่ายหรือผู้ขาย และองค์กรธุรกิจต่าง ๆ ผ่านปัญหาปี 2000 ได้อย่างมั่นใจ แนวทางการสำรวจความพร้อมต่อปัญหาปี 2000 ที่จะกล่าวถึงนี้จะแสดงส่วนต่าง ๆ ในทางธุรกิจที่จะมีผลกระทบจาก Y2K ไว้ ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในองค์กรท่านได้ และกระบวนการแก้ปัญหานี้ควรจะพึ่งพาผู้เชี่ยวชาญทางด้านไอที ด้านเทคนิคและด้านภาษี รวมถึงที่ปรึกษาทางด้านกฎหมาย เพื่อลดข้อพิพาท หากเกิดผลกระทบขึ้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ
แนวทางสำรวจนี้เป็นเพียงอย่างง่ายเบื้องเท่านั้น แต่ละบริษัท / องค์กรควรจะได้รับการสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญ ด้านไอทีและผู้ชำนาญงานด้านอื่น ๆ เพื่อพัฒนาแบบสำรวจนี้ให้เหมาะสมกับแต่ละองค์กร ตามความจำเป็นและสภาพเหตุการณ์
บริษัทของคุณพร้อมแล้วหรือยังสำหรับปัญหาปี 2000 ?
คุณจะรองรับปัญหาปี 2000 ได้เต็มรูปแบบก่อนปลายปี 1998 ?
บริษัทของคุณมีพันธะสัญญาการบริหารและกองทุนเพื่อแก้ปัญหาปี 2000 ให้สำเร็จ ?
บริษัทของคุณเกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาY2K และมีเป้าหมายว่าจะแก้ไขได้สำเร็จในวันที่ - / - / - ?
ระบบคอมพิวเตอร์ของภาคธุรกิจ
ด้วยรูปแบบ EDI ในปัจจุบันระบบวัตถุดิบของคุณสามารถวางแผนและจัดการวัตถุดิบได้ ผู้ผลิต, Ship และการขนส่งไปยังลูกค้าของคุณหลังปี 2000ได้?
คุณจะยังสามารถจ่ายค่าจ้าง, ใบเสร็จสินค้าและดำเนินธุรกิจได้เป็นปกติหลังผ่านพ้นปี 2000 ไปได้ ?
่ระบบธุรกิจของคุณได้มีการพัฒนารองรับปี 2000 ?
คุณมีการจ้างหน่วยงานภายนอกเพื่อแก้ปัญหา Y2K ให้ ?
คุณรองรับปี 2000 ด้วยการใช้ระบบใหม่แทนที่ระบบเก่าทั้งหมด ?
คุณจะทำการวางแผนและปฏิบัติการทดสอบอย่างเต็มรูปแบบในจุดที่สำคัญมากในปี 2000 ไปได้ ?
โครงสร้างพื้นฐานทางเทคนิค
คุณจะสามารถ Run ข้อมูลส่วนกลางได้ตลอดไปจนหลังปี 2000 ?
คุณมีแผนงานที่จะแทนที่ซอฟต์แวร์ระบบ Y2K ในศูนย์ข้อมูลของคุณ ?
ผู้ใช้งานทั่วไป
คุณได้สำรวจเครื่อง PC และระบบให้บริการอัตโนมัติในออฟฟิค และกำหนดฟังก์ชั่นที่เหมาะสมซึ่งสามารถรองรับปัญหาปี 2000 ได้ ?
ซัพพลายเออร์ เอเยนต์ และผู้ให้บริการสาธารณะ (ธนาคาร ไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์)
คุณได้ประเมินผลกระทบกับผู้จัดหาภายนอกที่อาจกระทบต่อการ ปฏิบัติงานของคุณและมีแผนรองรับเพื่อทำให้มั่นใจว่าจะไม่ทำให้องค์กรของคุณติดขัด ?
เครื่องมืออุปกรณ์ในสายการผลิต การจัดเก็บสินค้า และการบริการ
คุณได้มีการสำรวจอุปกรณ์เครื่องมือต่างฯในโรงงานบริเวณคลัง สินค้าซึ่งใช้วันที่ในการตัดสินใจและอุปกรณ์ที่ควบคุมด้วยไมโครโพรเซสเซอร์และมี แผนการที่จะอัพเกรดหรือแทนที่จุดที่มีปัญหา ?
สภาพแวดล้อมในอาคาร สำนักงานและโรงงาน
คุณมีการสำรวจระบบ HVAC, ระบบรักษาความปลอดภัย, ลิฟต์, ระบบโทรศัพท์, ระบบเตือนภัยเมื่อเกิดเพลิงไหม้, และอื่น ๆ ที่จะต้องมีการนำไปอัพเกรดหรือแทนที่ ?
สินค้าขององค์กร
คุณมีการทบทวนสินค้าที่ควบคุมการผลิตด้วยไมโครโพรเซสเซอร์ แล้วว่ามีการแสดงผลข้อมูลเกี่ยวกับอันที่ได้ถูกต้อง ?
หน่วยงานวิจัยแลพัฒนา
คุณมีการสำรวจระบบการวัดและทดสอบของหน่วยงานวิจัยและพัฒนามั่นใจ ว่าสามารถทำงานทดสอบต่อไปได้อย่างถูกต้องเมื่อผ่านปี 2000 ?
เรื่องหลักที่ต้องพิจารณา
ปัญหาปี 2000 เหมือนระเบิดเวลาที่องค์กรต้องร่วมกันถอดสลัก เพราะฉะนั้น ทุกองค์กรต้องทราบว่าจะเริ่มพิจารณาจากจุดใดบ้าง และจะลดความรุนแรงจากปัญหาได้อย่างไร
สัญญาทางเทคโนโลยีที่มีอยู่เดิม (Existing Technology Contracts) ทุกองค์กรต้องมีการทบทวนสัญญาซื้อเทคโนโลยีต่าง ๆ จากผู้ค้าส่ง อาทิเช่น อุปกรณ์หรือส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์, ลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์, ระบบบำรุงรักษาและแหล่งข้อมูลภายนอกที่ตกลงใช้ร่วมกันเพื่อจะได้ให้ผู้ขายร่วมหาทางแก้ไขหรืออาจช่วยออกค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงให้ผ่านปี 2000 ได้
สัญญาทางเทคโนโลยีที่จะทำขึ้นใหม่ (New Technology Contracts) เมื่อใดก็ตามที่มีการตกลงเซ็นต์สัญญาซื้อสินค้าที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ทุกองค์กรควรกำหนดสเปกว่า ต้องสามารถรองรับปัญหา Y2K ได้ และระบุไว้ในสัญญาด้วย เพื่อไม่ให้มีปัญหาเพิ่มขึ้นอีก ดังนั้นทุกองค์กรต้องมองหาแต่ตัวแทนจำหน่ายที่น่าเชื่อถือและมีการรับประกันที่ดี ซึ่งจะช่วยให้องค์กรได้รับซอฟต์แวร์หรือสินค้าใหม่ ที่ผ่านการรับรองว่าได้แก้ปัญหา Y2K แล้ว
ซัพพลายเออร์และลูกค้า (Suppliersand Customers) เพราะปัญหา Y2K มิได้ส่งผลเฉพาะระบบอิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น แต่จะกระทบต่อไปยังองค์กรอื่น ๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นซัพพลายเออร์ ลูกค้า รัฐบาล หรือหน่วยงานบริการต่าง ๆ โดยผ่านทางการเชื่อมต่อด้วยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรือคอมพิวเตอร์ เช่น ระบบ EDI หรือ EFT ซึ่งส่งผลกระทบต่อธุรกิจหลักของบริษัท ดังนั้นซัพพลายเออร์และลูกค้าสำคัญ ๆ ของบริษัทต้องได้รับการประเมินปัญหาปี 2000 อย่างรอบคอบ
การรวมกิจการและพัทธมิตร (Merger and Alliance) การรวมกิจกรรมหรือการเข้าถือสิทธิ์ในบริษัทอื่นเพื่อ เสริมความแข็งแกร่งให้แก่บริษัท ควรทำการทดสอบในเรื่องผลกระทบจากปัญหา Y2K ร่วมกันและควรได้รับการรับรองจากหน่วยงานภายนอกว่าผ่านปี 2000 ด้วย
การรับประกัน (insurance) ผู้ค้าส่งต้องเรียกการรับประกันจาก ผู้ผลิตสินค้าในเรื่องปัญหาปี 2000 และผู้ซื้อเองก็ต้องเรียกร้องการรับประกันตรงนี้ด้วย และหากมีความผิดพลาดขึ้นจากปัญหา Y2K ผู้ค้าส่งและผู้ผลิตต้องร่วมกันรับผิดชอบ ทั้งค่าใช้จ่ายในการแก้ไขและการชดเชยความเสียหายจากการใช้สินค้า
เปิดเผยข้อมูล (Disclosures) ปฏิบัติการแก้ปัญหา Y2K ของทุกหน่วยงานต้องเป็นไปอย่างรอบคอบ และควรเปิดเผยขอบเขตและลักษณะที่แท้จริงของปัญหา มาตรการรักษา ความปลอดภัย , ระบบการเงิน , มาตรฐานการตรวจสอบและในส่วนอื่นๆ ที่นำมาเปิดเผยได้หากแก้ไขไม่ได้ ต้องเตรียมแผนฉุกเฉินรองรับด้วย
คำเตือนและข้อสังเกต (Warning / Notices) ผู้ผลิตสินค้าควรจะต้องพร้อมแล้ว สำหรับตลาดปัจจุบันที่ต้องได้ผลิตสินค้าควรจะต้องพร้อมแล้ว สำหรับตลาดปัจจุบันที่ต้องได้ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองปัญหา Y2K เพื่อให้แน่ใจว่าจะใช้ได้ต่อไป หลังผ่านคืนวันที่ 31 ธันวาคม ปี 1999 ดังนั้นผู้ผลิตต้องแสดงรายละเอียดเรื่องนี้ในตัวสินค้า สวนผู้ซื้อก็ต้องพิจารณาเรื่องนี้ด้วย
เอกสารยืนยัน (Documentation) บางครั้งผู้ขายอาจจะทำเป็นเอกสารยืนยันว่าสินค้าชนิดนั้นผ่านการรับรองแล้ว นับว่าเป็นอีกวิธีหนึ่ง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้ผลิต/ผู้ขายสินค้า มีความรับผิดชอบต่อปัญหาปี 2000
ระบบที่ผ่านปี 2000ต้องเป็นอย่างไร
เพื่อเป็นการตรวจสอบว่าผ่านปี2000 ระบบและกระบวนการของคุณต้องมีลักษณะดังนี้
ต้องจัดการข้อมูลได้ถูกต้องทั้งก่อน ระหว่างและหลังเที่ยงคืนของวันที่ 31 ธันวาคม 1999 รวมถึงยอมรับการป้อนข้อมูลวันที่ และคำนวณ ผลได้อย่างถูกต้องเมื่อเทียบกับของจริง
ฟังก์ชันการทำงานแน่นอน ไม่ติดขัดทั้งก่อน, ระหว่างและหลังวันที่ 1 มกราคม ปี 2000 ไม่มีการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ของการปฏิบัติงาน เมื่อศตวรรษใหม่มาถึง
ตอบสนองตัวเลขปี 2 หลักได้ถูกต้อง
ประมวลผลปี 2000 เป็นปีอธิกสุรทิน (ปีที่มี 29 ก.พ.)
จัดการข้อมูลที่เกี่ยวกับวันที่และไม่เกี่ยวได้ถูกต้อง
การประมวลผลข้อมูลเกี่ยวกับวันที่ใดๆ ในปี “99” และ “00” ต้องเป็นไปอย่างถูกต้องหากไม่ระวังในจุดนี้จะทำให้คำนวณได้ผิดไป
ผลกระทบจากปัญหาปี 2000
ถึงแม้ว่าทั่วโลกจะตื่นตัวกับการแก้ปัญหา Y2K แต่เป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีบางองค์กรแก้ไขไม่ทันการณ์ ดังนั้นการทราบว่าผลกระทบที่มีโอกาสเกิดขึ้น มีจุดไหนบ้าง จะช่วยให้การเตรียมตัวหลีกเลี่ยงข้อพิพาททางกฎหมายทำได้สะดวกขึ้น สำหรับผลกระทบจะเกิดหลายจุดดังนี้
ระบบคอมพิวเตอร์ของภาคธุรกิจ ทราบกันดีว่าการดำเนินธุรกิจของโลก ปัจจุบันมีระบบคอมพิวเตอร์และแอพพลิเคชั่นเฉพาะทางมากมายช่วยงานอยู่ในแต่ละหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบสินค้า การวางแผนเรื่องวัตถุดิบ การจัดทำตารางการผลิต การตลาด การขาย การเงินและการบัญชี การจัดซื้อ และจัดการบุคคล และที่สำคัญคือมีบางแอพพลิเคชั่นใช้วันที่เป็นข้อมูลในการประมวลผล หากระบบดังกล่าวไม่ได้รับการรับรองว่าผ่านปี2000 โดยผู้เชี่ยวชาญย่อมไม่อาจแน่ใจได้ว่าระบบจะ ทำงานต่อไปได้อย่างถูกต้องหรือไม่เมื่อผ่านปี2000
โครงสร้างพื้นฐานทางเทคนิค โดยทั่วไปผู้ขายที่จำหน่ายซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ หรือระบบอื่น ๆ หรือลูกค้ามักจะมีการพัฒนางานของตนสัมพันธ์กับโครงสร้างพื้นฐานทางด้านเทคนิคขององค์กร ตัวอย่างของโครงสร้างพื้นฐานทางเทคนิคได้แก่ ระบบศูนย์กลางข้อมูลทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ระบบเครือข่าย เซิร์ฟเวอร์ และเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ อีเมล์ ดาวเทียม ระบบโทรศัพท์และวีดีโอ รวมถึงแอพพลิเคชั่นซอฟต์แวร์อื่น ๆ เช่น MS Office ระบบเหล่านี้ต้องได้รับการรับรองว่าผ่านปี 2000 มิเช่นนั้น การประสานงานภายในองค์กรอาจติดขัดได้
ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ทั่วไป ในองค์กรนอกจากจะมีผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีแล้ว ก็ยังมีผู้ใช้งานซึ่งมักรู้แต่เพียงการสร้างงานด้วยแอพพลิเคชั่นเท่านั้น เช่น การใช้แอพพลิเคชั่นสเปรดชีต หรือ ฐานข้อมูล ซึ่งงานต่าง ๆ ที่สร้างขึ้นบางครั้งมีความสัมพันธ์กับระบบข้อมูลส่วนกลาง ถ้าหากแอพพลิเคชั่นเหล่านั้น คำนวณผิดพลาดข้อมูลที่ส่งไปก็ต้องผิดพลาดด้วย จึงต้องระมัดระวังเรื่องนี้ด้วย
ซัพพลายเออร์ เอเยนต์ผู้ให้บริการสาธารณะ (ธนาคาร ไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์) องค์กรเหล่านี้อยู่นอกเหนือความรับผิดชอบขององค์กรทั่วไป แต่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจได้ จึงต้องมีการติดตามและตรวจสอบดูว่า หน่วยงานดังกล่าวแก้ปัญหาปี 2000 ได้หรือยัง และมีแผนฉุกเฉินรองรับไว้อย่างไร กรณีเกิดความผิดพลาด (เช่น ธนาคาร คำนวณยอดเงินกู้ผิดพลาดการไฟฟ้าจ่ายไฟไม่ได้ทั่วประเทศ เป็นเวลานาน เป็นต้น)
เครื่อง/อุปกรณ์สำหรับการผลิต การจัดเก็บ (คลังสินค้า) และการบริการ ซึ่งปัจจุบันมีความเป็นอัตโนมัติค่อนข้างสูง ทุกอย่างตัดสินใจด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีไมโครโพรเซสเซอร์เป็นหัวใจสำคัญ หากองค์กรใดมีระบบเหล่านี้อยู่ ต้องเร่งตรวจสอบอย่างละเอียดว่าจะมีผลกระทบต่อธุรกิจหลักของบริษัทหรือไม่ มีเครื่องมือชิ้นใดทำงานโดยใช้วันที่เป็นข้อมูลบ้าง และทำประมวลผลได้ถูกต้องหรือไม่เมื่อผ่านปี 2000 รวมถึงซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาพร้อมกับเครื่องก็ควรได้รับการรับรองจากผู้ขายว่าผ่านปี 2000 หรือไม่ ถ้าไม่ผ่านต้องตกลงกับผู้ขายว่าใครจะเป็นผู้แก้ปัญหา
สภาพแวดล้อมภายในโรงงาน สำนักงาน และไซต์งานอื่น ปัจจุบันจะเห็นว่ามีอาคาร สำนักงานและโรงงานมากมายที่สร้างขึ้นภายใต้ความทันสมัย มีระบบควบคุมสภาพแวดล้อมแบบอัตโนมัติ เช่น ระบบลิฟต์ บันไดเลื่อน ระบบปรับอากาศ ระบบรักษาความปลอดภัย ระบบสื่อสารไร้สายภายใน ชุมสายโทรศัพท์ และระบบไฟฟ้าที่ซื้อจากภายนอก สิ่งเหล่านี้ต้องได้รับการตรวจสอบและเปิดเผยข้อมูลให้พนักงานทุกคนรับทราบ ว่าปัญหาปี 2000 จะส่งผลกับระบบต่าง ๆ หรือไม่ และส่งผลอย่างไรจะได้ไม่เกิดความเสียหายขึ้นภายหลัง
สินค้าขององค์กร ในบางองค์กรมีกระบวนการผลิตแบบอัตโนมัติ และบางครั้งต้องพิมพ์วันที่ผลิต หรือวันหมดอายุ ด้วยระบบไมโครโพรเซสเซอร์ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอาหาร หากระบบดังกล่าวทำงานผิดพลาดเมื่อผ่านปี 2000 ไป อาจทำให้สินค้าดี กลายเป็นสินค้าหมดอายุไปก็ได้ ซึ่งหากไม่ได้รับการตรวจสอบแก้ไข บริษัทอาจสูญเสียเงินจำนวนมหาศาลก็ได้
งานวิจัย และพัฒนาหรือหน่วยงานทดสอบ หากบริษัทหรือองค์กรใดมีหน่วยงานที่ต้องทำงานวิจัย และพัฒนาผลิตภัณฑ์ หรือตรวจสอบคุณภาพสินค้า ต้องให้ความสำคัญกับการตรวจสอบถึงผลกระทบจากปัญหาปี 2000 ต่อเครื่องมือทดสอบต่าง ๆ เพราะข้อมูลที่เกิดจากการวิจัยหรือตรวจสอบ ถ้าผิดพลาดย่อมทำให้สินค้าที่ผลิตออกมาไม่ได้คุณภาพและจะส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของบริษัทได้
ปัญหาปี ค.ศ. 2000 (Y2K) คืออะไร
ย้อนหลังไปเมื่อคอมพิวเตอร์ได้รับการออกแบบขึ้นนั้น การเขียนโปรแกรม หรือsoftware จะมีการเก็บข้อมูลเวลาในรูปแบบ DD/MM/YY โดยที่ YY แทนปี ค.ศ. 19YY เช่น 84 แทนปี ค.ศ. 1984 เพื่อประหยัดเนื้อที่ในการจัดเก็บข้อมูล ซึ่งอาจมองว่าประหยัดแค่ 2 หลัก แต่หากมองเป็นระบบใหญ่ๆ ก็จะประหยัดได้มากเป็นการช่วยลดค่าใช้จ่ายในการทำงาน เนื่องจากในสมัยนั้นราคาของอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับระบบคอมพิวเตอร์ ทั้งหลายมีราคาสูงกว่าปัจจุบันมาก ผลที่กำลังจะเกิดขึ้นจากเหตุผลดังกล่าวของการจัดเก็บข้อมูลในรูปแบบเลขปี 2 ตำแหน่งนี้เกิดความสับสน และไม่รู้ของระบบหรือแอพพลิเคชั่นโปรแกรมที่ต้องใช้วันที่ในการคำนวณ เปรียบเทียบ จัดเรียงลำดับเมื่อการก้าวข้ามของเวลาจาก 1999 ไปสู่ 2000 แต่ระบบจะรับรู้ในรูปเลข 2 หลักคือ 99 ไปสู่ 00 โดย 00 นี้ระบบไม่รู้ว่าเป็นปี 2000 ตรงนี้เองทำให้เกิดผลลัพธ์ในการทำงานที่ผิดพลาดได้
Y2K หรือ Way To Cry
ปัญหาเทคนิคง่าย ๆ ดังกล่าวนั้นแทรกตัวอยู่อย่างซับซ้อนในการทำงานต่างๆ ที่มีเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เข้ามาเกี่ยวข้อง จึงไม่ใช่เรื่องง่ายในการประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นรวมถึงแผนในการรับมือต่างๆ ซึ่งตัวอย่างของเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายชี้ว่ามีโอกาสสูงที่จะมีปัญหาการทำงานเมื่อถึงปี ค.ศ. 2000 เช่น
แหล่งผลิตภัณฑ์งานต่าง ๆ เช่น โรงงานผลิตกระแสไฟฟ้า , โรงงานกลั่นน้ำมัน ซึ่งที่สวีเดนมีข่าวว่าได้ประกาศจะปิดโรงงานผลิตไฟฟ้าปรมาณู ชั่วคราวระหว่างปลายปี ค.ศ. 1999 ถึงต้นปี ค.ศ. 2000 เพราะได้จำลองสถานการณ์ปี ค.ศ.2000 แล้วพบว่าระบบการส่งน้ำซึ่งเป็นระบบที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับเตาปรมาณู จนมีปัญหา Y2K แล้วถ้าไม่แน่ใจว่าจะแก้ได้เต็มที่ก็ควรจะเปิดเตาดังกล่าวแล้ว
ระบบสื่อสารและโทรคมนาคม ได้แก่ ระบบสื่อสารทางโทรศัพท์เคลื่อนที่ ระบบสื่อสารข้อมูลผ่านเคเบิ้ลใต้น้ำ ระบบสื่อสารผ่านดาวเทียม รวมทั้งระบบอินเตอร์เน็ต
ระบบคมนาคม ได้แก่ ระบบควบคุมการเดินเรือ , ระบบควบคุมทางจราจรทางอากาศ , ระบบควบคุมสัญญาณไฟจราจร รวมไปถึงระบบคอมพิวเตอร์ที่ติดตั้งเพื่อโปรแกรมการทำงานในยานพาหนะต่าง ๆ ทั้งในรถยนต์ เครื่องบิน เรือเดินทะเล
ระบบการสาธารณสุข ได้แก่ อุปกรณ์การแพทย์ต่าง ๆ , เครื่องฉายรังสี , เครื่องผลิตไฟฟ้าฉุกเฉินในโรงพยาบาล , อุปกรณ์และระบบในการผลิตยา
ระบบการเงินทางธนาคาร ได้แก่ ระบบบัญชีต่าง ๆ , ตู้ ATM
ระบบการประปาและระบบระบายน้ำทิ้ง มีระบบคอมพิวเตอร์ควบคุมระบบระบายน้ำรวมไปถึงเครื่องมือวิเคราะห์น้ำ
ระบบการผลิตจัดเก็บและการจำหน่าย ได้แก่ โรงงาน , ร้านค้า , ซูเปอร์มาร์เก็ตยุคใหม่ที่มีการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ควบคุมการผลิต ,ควบคุมรายการวัสดุและสินค้าในสต๊อก ,การชำระเงินด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์
ระบบควบคุมอาคาร ได้แก่ ระบบลิฟต์ , ระบบไฟฟ้า , ระบบควบคุมกระแสไฟฟ้า , ระบบปรับอากาศ , ระบบเตือนภัย และรักษาความปลอดภัยต่าง ๆ ทั้งระบบป้องกันอัคคีภัย , ระบบสัญญาณกันขโมย
ระบบการทำงานในโรงงาน ทั้งระบบการผลิต การจัดเก็บวัสดุสินค้า , ระบบควบคุมอาคาร รวมถึงระบบและอุปกรณ์ที่ใช้ในการควบคุมการทำงานของเครื่องมือ เครื่องจักร หรือโรงงานที่เรียกกันว่าระบบแบบฝังตัว (Embedded System)
ปัญหา Y2K เป็นปัญหาทางด้านธุรกิจและอุตสาหกรรม
ถึงเวลานี้ปัญหา Y2Kไม่ใช้ปัญหาทางเทคนิคเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ปัญหาได้ขยายเป็นปัญหาทางธุรกิจและการบริหารงานขององค์กรทั้งของท่านและอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งแน่นอนย่อมส่งผลกระทบต่อลูกค้าและผู้ขายสินค้าให้องค์กรด้วย ซึ่งเมื่อมองในภาพรวม เครือข่ายการดำเนินธุรกิจติดต่อในอุตสาหกรรมบ้านเราย่อมเกิดผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หากพิจารณาด้านการอุตสาหกรรมกระบวนการผลิต ระบบควบคุมการผลิตอาจเกิดล้มเหลวเนื่องจากปัญหา Y2K ในระบบแบบฝังตัว (Embedded System) ที่เกิดกับอุปกรณ์ที่ใช้ควบคุมตรวจสอบ หรือช่วยในการทำงาน ของเครื่องมือเครื่องจักรรวมทั้งในฮาร์คแวร์ของระบบคอมพิวเตอร์ที่ใช้ควบคุมสายการผลิตต่างๆ ในกระบวนการผลิตของโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ
โรงงานอุตสาหกรรมจำนวนหนึ่งอาจต้องหยุดการผลิตชั่วคราว แต่ผลกระทบจะไม่มี เพียงเท่านี้ ซึ่งบางอุตสาหกรรม Output จากอุตสาหกรรมประเภทหนึ่งยังต้องส่งเป็น Input ยังอีกอุตสาหกรรมประเภท หนึ่ง ซึ่งย่อมจะส่งผลกระทบเป็นห่วงโซ่เกิดขึ้นในวงการอุตสาหกรรม เกิดการชะงักและล้าช้าต่าง ๆ ส่งผลต่อการละเมิดข้อตกลงสัญญาต่างๆ ทางกฎหมาย เช่นการส่งมอบสินค้า การชำระเงิน สัญญาเงินกู้ต่าง ๆ อาจถูกปรับเสียค่าใช้จ่ายเกิดความเสียหายต่อธุรกิจ นอกจากนี้ปัญหา Y2K ยังมีผลกระทบต่อการใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ในงานธุรกิจ (Electronics Commerce) อันได้แก่ ระบบสถาบันการเงิน ระบบเครดิต ระบบโอนเงิน และระบบตลาดหุ้นซึ่งมีการเชื่อมโยงกันไว้อย่างซับซ้อน
ที่กล่าวมาเป็นผลกระทบโดยรวมส่วนหนึ่งที่อาจเกิดขึ้นได้ ในด้านธุรกิจ และอุตสาหกรรมที่เสนอมุมมองเพื่อให้เกิดการ “ ตระหนักแต่อย่าตระหนก ” กับปัญหาเนื่องจากผลกระทบที่กล่าวมาจากปัญหาY2K ในบางเรื่องได้รับข้อมูลยืนยันว่าเกิดขึ้นได้จริง บางเรื่องมีโอกาสสูงที่อาจจะเกิดขึ้น และบางเรื่องอาจได้รับผลกระทบบ้างเล็กน้อย ทั้งนี้ทั้งนั้นผลกระทบต่าง ๆจากปัญหา Y2K เป็นเพียงการคาดการณ์ว่า “อาจจะ” เกิดขึ้นเท่านั้น ประเด็นสำคัญอยู่ที่ความไม่ประมาทหรือละเลยและน่าที่จะตระหนักถึงการดำเนินการเพื่อรับมือกับผลกระทบต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นจากปัญหาปี ค.ศ. 2000 หรือ ปัญหา Y2K ที่กำลังมาเยือนในอนาคตอันใกล้นี้ยึดสุภาษิตไทยเรา “กันไว้ดีกว่าแก้” กันดีกว่า เพราะอีกประการสำคัญหนึ่งในการแก้ปัญหา Y2K คือ ค่าใช้จ่ายและทีมงาน ซึ่งหากยิ่งเวลาล่วงเลยไปการหาทีมงาน ทรัพยากรมาแก้ไขได้ยาก ค่าใช้จ่ายก็จะสูงขึ้น และอาจเหลือเวลาไม่พอแก้ไขแล้วแม้ว่าจะมีเงินสนับสนุนเท่าไรก็ตาม และการที่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเรื่องค่าใช้จ่ายจึงทำให้เกิดภาวะความไม่มั่นใจเกิดขึ้นกับธุรกิจในทุกระบบในองค์กร ทั้งงานด้านอุตสาหกรรม รวมถึงงานด้านการบริการ จึงต้องได้รับการตรวจสอบทั้งหมดให้สอดคล้องกับประเด็นทางธุรกิจด้วยเหตุผลหลัก ๆ คือ
ธุรกิจจะต้องยืนหยัดได้เมื่อถึงปี ค.ศ. 2000 และหลังจากนั้น
ต้องลดความเสี่ยงของผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับการดำเนินในงานธุรกิจ
ลดผลกระทบในทางกลยุทธ์ทางธุรกิจ
จึงทำให้เห็นประเด็นหลักสำคัญที่ต้องมุ่งเน้น คือ งานด้านการบริหารงาน ในการดำเนินการรับมือกับปัญหา Y2K ที่อาจจะเกิดขึ้น
ปัญหา Y2K ปัญหาทางการบริหาร
ปัญหา Y2K เป็นปัญหาทางการบริหารมากกว่าปัญหาทางเทคนิค ดังนั้น การวางแผนและการควบคุมโครงการรับมือปัญหา Y2K การพิจารณาเกี่ยวกับความสามารถในการบริหารโครงการเพื่อให้งานบรรลุตามที่กำหนดเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง นักวิเคราะห์เชื่อว่าความพร้อมรองรับต่อปี ค.ศ. 2000 จะเป็นตัวกำหนด ความเป็นผู้แพ้ผู้ชนะในวงการธุรกิจ และอุตสาหกรรมเลยทีเดียว
เตรียมตัวอย่างไรเพื่อแก้ปัญหา Y2K
ปัญหา Y2Kจะกระทบต่อธุรกิจโลกไม่มาก ถ้าทุกองค์กรต่างเร่งแก้ปัญหาให้ทันเวลา โดยเฉพาะแกนหลักของธุรกิจ เช่น ธนาคาร โรงไฟฟ้า ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์พื้นฐาน ระบบสายการบิน โดยแต่ละองค์กรต้องประเมินทั้งภายในบริษัทตัวเอง ซัพพลายเออร์ และลูกค้าของบริษัทว่า “พร้อมหรือยัง?สำหรับการย่างก้าวสู่ปี ค.ศ.2000”และที่สำคัญต้องมีแผนฉุกเฉินรองรับเพื่อลดข้อพิพาททางกฎหมาย หากเกิดความเสียหายในรูปจำนวนเงินและก่อนที่จะสิ้นสุดปี ค.ศ.1999 ทุกองค์กรที่ค้าขายหรือติดต่อกันก็ต้องเปิดเผยข้อมูลและสร้างความมั่นใจว่า “การค้าขายจะเกิดขึ้นอย่างถูกต้องเมื่อปี ค.ศ.2000 มาถึง” ซึ่งขั้นตอนต่าง ๆ ในการฝ่าวิกฤตปี ค.ศ.2000 ที่สามารถนำไปใช้ได้ มีรายละเอียดดังนี้
ตระหนักรู้ถึงปัญหา (Awareness) ต้องยอมรับในปัญหานี้ก่อน เริ่มตั้งแต่ระดับพนักงานทั่วไปจนถึงผู้อำนวยการบริษัท และพร้อมใจกันค้นหาว่าปัญหาจะเกิดจากที่ไหนในระบบบ้าง จากนั้นก็เริ่มกำหนดผู้รับผิดชอบในการแก้ปัญหา
การสำรวจและการประเมินปัญหา (Assessment) ดูว่าส่วนประกอบทางเทคโนโลยีใดจะได้รับผลกระทบจากปัญหาปี 2000 บ้าง โดยต้องประเมินทั้งภายในองค์กร ซัพพลายเออร์และลูกค้าไปพร้อมกัน
ดำเนินการแก้ไขปัญหา (Renovation) เมื่อรู้ว่าปัญหาอยู่ตรงไหนต้องทำการปรับปรุงหรือหาเทคโนโลยีอื่นมาแทน และขจัดความเสี่ยจากภายนอกด้วยการตรวจสอบแก้ไขที่ต้นตอหรือแหล่งที่มาของเทคโนโลยีที่เข้ามาแทนด้วย
การทดสอบและยืนยันความถูกต้อง (Testing/Validation) นับเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ถ้าอุปกรณ์ใดไม่ผ่านการทดสอบย่อมไม่อาจแน่ใจว่าสามารถรองรับปัญหา Y2K ได้ฉะนั้นระบบใดได้รับการการแก้ไขแล้วจะต้องผ่านการทดสอบให้แน่ใจว่าปัญหาได้หมดไปแล้วและพร้อมที่จะนำไปติดตั้งจริง
การดำเนินการติดตั้ง (Implementation) เมื่อทำการทดสอบเสร็จแล้วต้องนำเอาเทคโนโลยีใหม่ไปติดตั้งใช้งาน และตกลงกับ คู่ค้าหรือภายในองค์กรว่าจะใช้ร่วมกัน
การจัดทำแผนฉุกเฉิน (Contingency plan)เพื่อรองรับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้โดยปัจจัยอื่นๆ แม้ว่าจะได้ดำเนินการแก้ปัญหาดังกล่าวไปแล้ว นอกจากนี้จะต้องเตรียมความพร้อมไว้แม้จะผ่านวันที่ 1 มกราคม ค.ศ.2000 ไปแล้วเพราะปัญหาอาจเกิดขึ้นได้ในช่วงเวลาที่ห่างออกไป
อะไรบ้างที่ต้องได้รับการประเมิน
การสำรวจความพร้อมต่อปัญหา Y2K จะเป็นแนวทางให้ทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นผู้แทนจำหน่ายหรือผู้ขาย และองค์กรธุรกิจต่าง ๆ ผ่านปัญหาปี 2000 ได้อย่างมั่นใจ แนวทางการสำรวจความพร้อมต่อปัญหาปี 2000 ที่จะกล่าวถึงนี้จะแสดงส่วนต่าง ๆ ในทางธุรกิจที่จะมีผลกระทบจาก Y2K ไว้ ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในองค์กรท่านได้ และกระบวนการแก้ปัญหานี้ควรจะพึ่งพาผู้เชี่ยวชาญทางด้านไอที ด้านเทคนิคและด้านภาษี รวมถึงที่ปรึกษาทางด้านกฎหมาย เพื่อลดข้อพิพาท หากเกิดผลกระทบขึ้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ
แนวทางสำรวจนี้เป็นเพียงอย่างง่ายเบื้องเท่านั้น แต่ละบริษัท / องค์กรควรจะได้รับการสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญ ด้านไอทีและผู้ชำนาญงานด้านอื่น ๆ เพื่อพัฒนาแบบสำรวจนี้ให้เหมาะสมกับแต่ละองค์กร ตามความจำเป็นและสภาพเหตุการณ์
บริษัทของคุณพร้อมแล้วหรือยังสำหรับปัญหาปี 2000 ?
คุณจะรองรับปัญหาปี 2000 ได้เต็มรูปแบบก่อนปลายปี 1998 ?
บริษัทของคุณมีพันธะสัญญาการบริหารและกองทุนเพื่อแก้ปัญหาปี 2000 ให้สำเร็จ ?
บริษัทของคุณเกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาY2K และมีเป้าหมายว่าจะแก้ไขได้สำเร็จในวันที่ - / - / - ?
ระบบคอมพิวเตอร์ของภาคธุรกิจ
ด้วยรูปแบบ EDI ในปัจจุบันระบบวัตถุดิบของคุณสามารถวางแผนและจัดการวัตถุดิบได้ ผู้ผลิต, Ship และการขนส่งไปยังลูกค้าของคุณหลังปี 2000ได้?
คุณจะยังสามารถจ่ายค่าจ้าง, ใบเสร็จสินค้าและดำเนินธุรกิจได้เป็นปกติหลังผ่านพ้นปี 2000 ไปได้ ?
่ระบบธุรกิจของคุณได้มีการพัฒนารองรับปี 2000 ?
คุณมีการจ้างหน่วยงานภายนอกเพื่อแก้ปัญหา Y2K ให้ ?
คุณรองรับปี 2000 ด้วยการใช้ระบบใหม่แทนที่ระบบเก่าทั้งหมด ?
คุณจะทำการวางแผนและปฏิบัติการทดสอบอย่างเต็มรูปแบบในจุดที่สำคัญมากในปี 2000 ไปได้ ?
โครงสร้างพื้นฐานทางเทคนิค
คุณจะสามารถ Run ข้อมูลส่วนกลางได้ตลอดไปจนหลังปี 2000 ?
คุณมีแผนงานที่จะแทนที่ซอฟต์แวร์ระบบ Y2K ในศูนย์ข้อมูลของคุณ ?
ผู้ใช้งานทั่วไป
คุณได้สำรวจเครื่อง PC และระบบให้บริการอัตโนมัติในออฟฟิค และกำหนดฟังก์ชั่นที่เหมาะสมซึ่งสามารถรองรับปัญหาปี 2000 ได้ ?
ซัพพลายเออร์ เอเยนต์ และผู้ให้บริการสาธารณะ (ธนาคาร ไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์)
คุณได้ประเมินผลกระทบกับผู้จัดหาภายนอกที่อาจกระทบต่อการ ปฏิบัติงานของคุณและมีแผนรองรับเพื่อทำให้มั่นใจว่าจะไม่ทำให้องค์กรของคุณติดขัด ?
เครื่องมืออุปกรณ์ในสายการผลิต การจัดเก็บสินค้า และการบริการ
คุณได้มีการสำรวจอุปกรณ์เครื่องมือต่างฯในโรงงานบริเวณคลัง สินค้าซึ่งใช้วันที่ในการตัดสินใจและอุปกรณ์ที่ควบคุมด้วยไมโครโพรเซสเซอร์และมี แผนการที่จะอัพเกรดหรือแทนที่จุดที่มีปัญหา ?
สภาพแวดล้อมในอาคาร สำนักงานและโรงงาน
คุณมีการสำรวจระบบ HVAC, ระบบรักษาความปลอดภัย, ลิฟต์, ระบบโทรศัพท์, ระบบเตือนภัยเมื่อเกิดเพลิงไหม้, และอื่น ๆ ที่จะต้องมีการนำไปอัพเกรดหรือแทนที่ ?
สินค้าขององค์กร
คุณมีการทบทวนสินค้าที่ควบคุมการผลิตด้วยไมโครโพรเซสเซอร์ แล้วว่ามีการแสดงผลข้อมูลเกี่ยวกับอันที่ได้ถูกต้อง ?
หน่วยงานวิจัยแลพัฒนา
คุณมีการสำรวจระบบการวัดและทดสอบของหน่วยงานวิจัยและพัฒนามั่นใจ ว่าสามารถทำงานทดสอบต่อไปได้อย่างถูกต้องเมื่อผ่านปี 2000 ?
เรื่องหลักที่ต้องพิจารณา
ปัญหาปี 2000 เหมือนระเบิดเวลาที่องค์กรต้องร่วมกันถอดสลัก เพราะฉะนั้น ทุกองค์กรต้องทราบว่าจะเริ่มพิจารณาจากจุดใดบ้าง และจะลดความรุนแรงจากปัญหาได้อย่างไร
สัญญาทางเทคโนโลยีที่มีอยู่เดิม (Existing Technology Contracts) ทุกองค์กรต้องมีการทบทวนสัญญาซื้อเทคโนโลยีต่าง ๆ จากผู้ค้าส่ง อาทิเช่น อุปกรณ์หรือส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์, ลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์, ระบบบำรุงรักษาและแหล่งข้อมูลภายนอกที่ตกลงใช้ร่วมกันเพื่อจะได้ให้ผู้ขายร่วมหาทางแก้ไขหรืออาจช่วยออกค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงให้ผ่านปี 2000 ได้
สัญญาทางเทคโนโลยีที่จะทำขึ้นใหม่ (New Technology Contracts) เมื่อใดก็ตามที่มีการตกลงเซ็นต์สัญญาซื้อสินค้าที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ทุกองค์กรควรกำหนดสเปกว่า ต้องสามารถรองรับปัญหา Y2K ได้ และระบุไว้ในสัญญาด้วย เพื่อไม่ให้มีปัญหาเพิ่มขึ้นอีก ดังนั้นทุกองค์กรต้องมองหาแต่ตัวแทนจำหน่ายที่น่าเชื่อถือและมีการรับประกันที่ดี ซึ่งจะช่วยให้องค์กรได้รับซอฟต์แวร์หรือสินค้าใหม่ ที่ผ่านการรับรองว่าได้แก้ปัญหา Y2K แล้ว
ซัพพลายเออร์และลูกค้า (Suppliersand Customers) เพราะปัญหา Y2K มิได้ส่งผลเฉพาะระบบอิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น แต่จะกระทบต่อไปยังองค์กรอื่น ๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นซัพพลายเออร์ ลูกค้า รัฐบาล หรือหน่วยงานบริการต่าง ๆ โดยผ่านทางการเชื่อมต่อด้วยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรือคอมพิวเตอร์ เช่น ระบบ EDI หรือ EFT ซึ่งส่งผลกระทบต่อธุรกิจหลักของบริษัท ดังนั้นซัพพลายเออร์และลูกค้าสำคัญ ๆ ของบริษัทต้องได้รับการประเมินปัญหาปี 2000 อย่างรอบคอบ
การรวมกิจการและพัทธมิตร (Merger and Alliance) การรวมกิจกรรมหรือการเข้าถือสิทธิ์ในบริษัทอื่นเพื่อ เสริมความแข็งแกร่งให้แก่บริษัท ควรทำการทดสอบในเรื่องผลกระทบจากปัญหา Y2K ร่วมกันและควรได้รับการรับรองจากหน่วยงานภายนอกว่าผ่านปี 2000 ด้วย
การรับประกัน (insurance) ผู้ค้าส่งต้องเรียกการรับประกันจาก ผู้ผลิตสินค้าในเรื่องปัญหาปี 2000 และผู้ซื้อเองก็ต้องเรียกร้องการรับประกันตรงนี้ด้วย และหากมีความผิดพลาดขึ้นจากปัญหา Y2K ผู้ค้าส่งและผู้ผลิตต้องร่วมกันรับผิดชอบ ทั้งค่าใช้จ่ายในการแก้ไขและการชดเชยความเสียหายจากการใช้สินค้า
เปิดเผยข้อมูล (Disclosures) ปฏิบัติการแก้ปัญหา Y2K ของทุกหน่วยงานต้องเป็นไปอย่างรอบคอบ และควรเปิดเผยขอบเขตและลักษณะที่แท้จริงของปัญหา มาตรการรักษา ความปลอดภัย , ระบบการเงิน , มาตรฐานการตรวจสอบและในส่วนอื่นๆ ที่นำมาเปิดเผยได้หากแก้ไขไม่ได้ ต้องเตรียมแผนฉุกเฉินรองรับด้วย
คำเตือนและข้อสังเกต (Warning / Notices) ผู้ผลิตสินค้าควรจะต้องพร้อมแล้ว สำหรับตลาดปัจจุบันที่ต้องได้ผลิตสินค้าควรจะต้องพร้อมแล้ว สำหรับตลาดปัจจุบันที่ต้องได้ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองปัญหา Y2K เพื่อให้แน่ใจว่าจะใช้ได้ต่อไป หลังผ่านคืนวันที่ 31 ธันวาคม ปี 1999 ดังนั้นผู้ผลิตต้องแสดงรายละเอียดเรื่องนี้ในตัวสินค้า สวนผู้ซื้อก็ต้องพิจารณาเรื่องนี้ด้วย
เอกสารยืนยัน (Documentation) บางครั้งผู้ขายอาจจะทำเป็นเอกสารยืนยันว่าสินค้าชนิดนั้นผ่านการรับรองแล้ว นับว่าเป็นอีกวิธีหนึ่ง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้ผลิต/ผู้ขายสินค้า มีความรับผิดชอบต่อปัญหาปี 2000
ระบบที่ผ่านปี 2000ต้องเป็นอย่างไร
เพื่อเป็นการตรวจสอบว่าผ่านปี2000 ระบบและกระบวนการของคุณต้องมีลักษณะดังนี้
ต้องจัดการข้อมูลได้ถูกต้องทั้งก่อน ระหว่างและหลังเที่ยงคืนของวันที่ 31 ธันวาคม 1999 รวมถึงยอมรับการป้อนข้อมูลวันที่ และคำนวณ ผลได้อย่างถูกต้องเมื่อเทียบกับของจริง
ฟังก์ชันการทำงานแน่นอน ไม่ติดขัดทั้งก่อน, ระหว่างและหลังวันที่ 1 มกราคม ปี 2000 ไม่มีการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ของการปฏิบัติงาน เมื่อศตวรรษใหม่มาถึง
ตอบสนองตัวเลขปี 2 หลักได้ถูกต้อง
ประมวลผลปี 2000 เป็นปีอธิกสุรทิน (ปีที่มี 29 ก.พ.)
จัดการข้อมูลที่เกี่ยวกับวันที่และไม่เกี่ยวได้ถูกต้อง
การประมวลผลข้อมูลเกี่ยวกับวันที่ใดๆ ในปี “99” และ “00” ต้องเป็นไปอย่างถูกต้องหากไม่ระวังในจุดนี้จะทำให้คำนวณได้ผิดไป
ผลกระทบจากปัญหาปี 2000
ถึงแม้ว่าทั่วโลกจะตื่นตัวกับการแก้ปัญหา Y2K แต่เป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีบางองค์กรแก้ไขไม่ทันการณ์ ดังนั้นการทราบว่าผลกระทบที่มีโอกาสเกิดขึ้น มีจุดไหนบ้าง จะช่วยให้การเตรียมตัวหลีกเลี่ยงข้อพิพาททางกฎหมายทำได้สะดวกขึ้น สำหรับผลกระทบจะเกิดหลายจุดดังนี้
ระบบคอมพิวเตอร์ของภาคธุรกิจ ทราบกันดีว่าการดำเนินธุรกิจของโลก ปัจจุบันมีระบบคอมพิวเตอร์และแอพพลิเคชั่นเฉพาะทางมากมายช่วยงานอยู่ในแต่ละหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบสินค้า การวางแผนเรื่องวัตถุดิบ การจัดทำตารางการผลิต การตลาด การขาย การเงินและการบัญชี การจัดซื้อ และจัดการบุคคล และที่สำคัญคือมีบางแอพพลิเคชั่นใช้วันที่เป็นข้อมูลในการประมวลผล หากระบบดังกล่าวไม่ได้รับการรับรองว่าผ่านปี2000 โดยผู้เชี่ยวชาญย่อมไม่อาจแน่ใจได้ว่าระบบจะ ทำงานต่อไปได้อย่างถูกต้องหรือไม่เมื่อผ่านปี2000
โครงสร้างพื้นฐานทางเทคนิค โดยทั่วไปผู้ขายที่จำหน่ายซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ หรือระบบอื่น ๆ หรือลูกค้ามักจะมีการพัฒนางานของตนสัมพันธ์กับโครงสร้างพื้นฐานทางด้านเทคนิคขององค์กร ตัวอย่างของโครงสร้างพื้นฐานทางเทคนิคได้แก่ ระบบศูนย์กลางข้อมูลทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ระบบเครือข่าย เซิร์ฟเวอร์ และเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ อีเมล์ ดาวเทียม ระบบโทรศัพท์และวีดีโอ รวมถึงแอพพลิเคชั่นซอฟต์แวร์อื่น ๆ เช่น MS Office ระบบเหล่านี้ต้องได้รับการรับรองว่าผ่านปี 2000 มิเช่นนั้น การประสานงานภายในองค์กรอาจติดขัดได้
ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ทั่วไป ในองค์กรนอกจากจะมีผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีแล้ว ก็ยังมีผู้ใช้งานซึ่งมักรู้แต่เพียงการสร้างงานด้วยแอพพลิเคชั่นเท่านั้น เช่น การใช้แอพพลิเคชั่นสเปรดชีต หรือ ฐานข้อมูล ซึ่งงานต่าง ๆ ที่สร้างขึ้นบางครั้งมีความสัมพันธ์กับระบบข้อมูลส่วนกลาง ถ้าหากแอพพลิเคชั่นเหล่านั้น คำนวณผิดพลาดข้อมูลที่ส่งไปก็ต้องผิดพลาดด้วย จึงต้องระมัดระวังเรื่องนี้ด้วย
ซัพพลายเออร์ เอเยนต์ผู้ให้บริการสาธารณะ (ธนาคาร ไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์) องค์กรเหล่านี้อยู่นอกเหนือความรับผิดชอบขององค์กรทั่วไป แต่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจได้ จึงต้องมีการติดตามและตรวจสอบดูว่า หน่วยงานดังกล่าวแก้ปัญหาปี 2000 ได้หรือยัง และมีแผนฉุกเฉินรองรับไว้อย่างไร กรณีเกิดความผิดพลาด (เช่น ธนาคาร คำนวณยอดเงินกู้ผิดพลาดการไฟฟ้าจ่ายไฟไม่ได้ทั่วประเทศ เป็นเวลานาน เป็นต้น)
เครื่อง/อุปกรณ์สำหรับการผลิต การจัดเก็บ (คลังสินค้า) และการบริการ ซึ่งปัจจุบันมีความเป็นอัตโนมัติค่อนข้างสูง ทุกอย่างตัดสินใจด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีไมโครโพรเซสเซอร์เป็นหัวใจสำคัญ หากองค์กรใดมีระบบเหล่านี้อยู่ ต้องเร่งตรวจสอบอย่างละเอียดว่าจะมีผลกระทบต่อธุรกิจหลักของบริษัทหรือไม่ มีเครื่องมือชิ้นใดทำงานโดยใช้วันที่เป็นข้อมูลบ้าง และทำประมวลผลได้ถูกต้องหรือไม่เมื่อผ่านปี 2000 รวมถึงซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาพร้อมกับเครื่องก็ควรได้รับการรับรองจากผู้ขายว่าผ่านปี 2000 หรือไม่ ถ้าไม่ผ่านต้องตกลงกับผู้ขายว่าใครจะเป็นผู้แก้ปัญหา
สภาพแวดล้อมภายในโรงงาน สำนักงาน และไซต์งานอื่น ปัจจุบันจะเห็นว่ามีอาคาร สำนักงานและโรงงานมากมายที่สร้างขึ้นภายใต้ความทันสมัย มีระบบควบคุมสภาพแวดล้อมแบบอัตโนมัติ เช่น ระบบลิฟต์ บันไดเลื่อน ระบบปรับอากาศ ระบบรักษาความปลอดภัย ระบบสื่อสารไร้สายภายใน ชุมสายโทรศัพท์ และระบบไฟฟ้าที่ซื้อจากภายนอก สิ่งเหล่านี้ต้องได้รับการตรวจสอบและเปิดเผยข้อมูลให้พนักงานทุกคนรับทราบ ว่าปัญหาปี 2000 จะส่งผลกับระบบต่าง ๆ หรือไม่ และส่งผลอย่างไรจะได้ไม่เกิดความเสียหายขึ้นภายหลัง
สินค้าขององค์กร ในบางองค์กรมีกระบวนการผลิตแบบอัตโนมัติ และบางครั้งต้องพิมพ์วันที่ผลิต หรือวันหมดอายุ ด้วยระบบไมโครโพรเซสเซอร์ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอาหาร หากระบบดังกล่าวทำงานผิดพลาดเมื่อผ่านปี 2000 ไป อาจทำให้สินค้าดี กลายเป็นสินค้าหมดอายุไปก็ได้ ซึ่งหากไม่ได้รับการตรวจสอบแก้ไข บริษัทอาจสูญเสียเงินจำนวนมหาศาลก็ได้
งานวิจัย และพัฒนาหรือหน่วยงานทดสอบ หากบริษัทหรือองค์กรใดมีหน่วยงานที่ต้องทำงานวิจัย และพัฒนาผลิตภัณฑ์ หรือตรวจสอบคุณภาพสินค้า ต้องให้ความสำคัญกับการตรวจสอบถึงผลกระทบจากปัญหาปี 2000 ต่อเครื่องมือทดสอบต่าง ๆ เพราะข้อมูลที่เกิดจากการวิจัยหรือตรวจสอบ ถ้าผิดพลาดย่อมทำให้สินค้าที่ผลิตออกมาไม่ได้คุณภาพและจะส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของบริษัทได้
วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
วันตรุษจีน
ประวัติของวันขึ้นปีใหม่ของจีนมีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ในวัฒนธรรมอื่นๆ ความปรารถนาสิ่งที่เราหวังว่าจะได้ปรับปรุง หรือที่เราคิดทำเมื่อเริ่มต้นในปีใหม่ มาถึงตอนนี้ ถ้าไม่ถูกลืมก็ถูกยัดลงกล่อง ใส่ตู้ปิดตายและแปะหน้าตู้ว่าไม่แน่ เอาไว้ทำปีหน้าแล้วกันอย่างไรก็ดี ความหวังก็คงยังไม่สูญไปทั้งหมด เพราะโอกาสที่สองกำลังมาถึงแล้ว กับการฉลองวันปีใหม่จีนหรือที่เรารู้จักกันว่า ตรุษจีนในวันที่ 29 มกราคม 2549 นี้ นั้นเอง
ตรุษจีนนั้นคล้ายคลึงกับวันปีใหม่ในประเทศทางตะวันตก ร่องรอยของประเพณี และพิธีกรรมความเป็นมาของการฉลองตรุษจีน นั้นมีมานานกว่าศตวรรษ จริงๆแล้วนานมาก จนไม่สามารถย้อนกลับไปดูว่า เริ่มต้นฉลองมาตั้งแต่เมื่อไร เป็นที่รู้จักและจำได้ทั่วไปว่าเป็น การฉลองเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ และการฉลองเป็นเวลานานถึง 15 วัน
การเตรียมงานฉลองส่วนใหญ่จะเริ่มหนึ่งเดือนก่อนวันตรุษจีน (คล้ายกับวัน คริสต์มาสของประเทศตะวันตก) เมื่อผู้คนเริ่มซื้อของขวัญ, สิ่งต่างๆ เพื่อประดับบ้านเรือน, อาหารและเสื้อผ้า การทำความสะอาดครั้งใหญ่ก็เริ่มขึ้นในวันก่อนตรุษจีน บ้านเรือนจะถูก ทำความสะอาดตั้งแต่บนลงล่างหน้าบ้านยันท้ายบ้าน ซึ่งหมายถึงการกวาดเอาโชคร้าย ออกไป ประตูหน้าต่างมีการขัดสีฉวีวรรณทาสีใหม่ซึ่งสีแดงเป็นสีนิยม ประตูหน้าต่างจะถูก ประดับประดาด้วยกระดาษที่มีคำอวยพรอย่างเช่น อยู่ดีมีสุข ร่ำรวย และอายุยืนเป็นต้น
วันก่อนวันตรุษจีนนั้นเป็นวันแห่งการการรอคอยจะว่าไปถือวันที่น่าตื่นเต้นมากที่สุด ในบรรดาการฉลองทั้งหมดเห็นจะได้ ประเพณีและพิธีกรรมต่างๆ นั้นผูกไว้กับทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่ อาหาร ไปจนถึงเสื้อผ้า อาหารค่ำนั้นประกอบด้วยอาหารทะเล และอาหารนึ่งเช่นขนมจีบ ซึ่งแต่ละอย่างจะมีความหมายต่างๆกัน อาหารอันโอชะอย่างเช่นกุ้งจะหมายถึงชีวิตที่รุ่งเรือง และความสุข เป๋าฮื้อแห้งหมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ดี สลัดปลาสดจะนำมาซึ่งโชคดี จี้ไช่ (ผมเทวดา) สาร่ายดูคล้ายผมแต่กินได้จะนำความความร่ำรวยมาให้ และขนมต้ม (Jiaozi) หมายถึงบรรพชนอวยพร และเป็นธรรมดาเสื้อผ้าที่ใส่สีแดงถือเป็นสีที่เป็นมงคลเป็นการไล่ปีศาจร้ายให้ออกไป และการใส่สีดำหรือขาวเป็นสิ่งต้องห้าม ซึ่งสีเหล่านี้ถือว่าเป็นสีแห่งการไว้ทุกข์ หลังจากอาหารค่ำทุกคนในครอบครัวนั่งกันจนเช้าเพื่อรอวันใหม่โดยการเล่นเกม เล่นไพ่ หรือดูรายการทีวีที่เกี่ยวกับวันตรุษจีน และในวันนี้จะต้องไม่โกรธ ริษยา หรือ ไม่พอใจ เพื่อเป็นสิริมงคลที่ดีสำหรับปีที่กำลังจะมาถึง
เมื่อถึงวันตรุษจีน ประเพณีตั้งแต่โบราณมาเรียกว่า อังเปา ซึ่งหมายถึง กระเป๋าแดง เป็นการที่คู่แต่งงานให้เงินเด็กๆ และผู้ใหญ่ที่ยังไม่ได้แต่งงานในซองสีแดง หลังจากนั้นทุกคน ในครอบครัว ต่าง ออกมาเพื่อกล่าวสวัสดีปีใหม่ เริ่มจากญาติๆ แล้วต่อด้วยเพื่อนบ้าน ซึ่งคงคล้ายกับการที่ชาวตะวันตกพูดว่า "Let bygones be bygones" (อะไรที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป) ในวันตรุษนี้ อารมณ์โมโหโกรธาจะถูกลืม และไม่สนใจ การฉลองวันตรุษจีนสิ้นสุดลงในงานโคมไฟ ซึ่งฉลองโดยการร้องเพลง เต้นรำ และงานแสดงโคมไฟ ถึงแม้ว่าการฉลองวันตรุษจีน จะมีแตกต่างกันออกไปแต่สิ่งที่เหมือนกัน คือ การอวยพร ความสงบ และความสุขให้กับคนในครอบครัวและเพื่อนทุกคน
ตำนานวันตรุษจีน
ตรุษจีน เป็นวันสำคัญของจีนที่มีมาแต่โบราณที่เรียกว่า “กว้อชุนเจี๋ย” หรือ “กว้อเหนียน” เล่ากันว่าในสมัยโบราณ ในป่าทึบแห่งหนึ่ง มีสัตว์ป่าที่ดุร้ายและน่ากลัวมากตัวหนึ่ง เรียกว่า “เหนียน” มันออกอาละวาดกินคนเป็นประจำ พระเจ้าจึงลงโทษมัน อนุญาตให้มันลงมาจากเขาได้เพียงหนึ่งครั้งใน 365 วัน ดังนั้น เมื่อฤดูหนาวใกล้จะผ่านไป ฤดูใบไม้ผลิเวียนมาใกล้ เหนียน ก็จะออกมาทำร้ายผู้คน เพื่อป้องกันการมาของ เหนียน ทุก ๆ ครัวเรือนจึงต่างสะสมเสบียงอาหาร และกับข้าวจำนวนหนึ่งไว้ในบ้าน เมื่อถึงตอนค่ำของวันที่ 30 เดือน 12 ก็จะปิดประตูและหน้าต่างเอาไว้ ไม่หลับไม่นอนตลอดคืน เพื่อต่อสู้กับ เหนียน จนกระทั่งถึงรุ่งเช้าก็จะเป็นวันแรม 1 ค่ำ เดือน 1 เมื่อ เหนียน กลับไปแล้ว ทุก ๆ ครัวเรือนก็จะเปิดประตูออกมาแสดงความยินดีต่อกัน ที่โชคดีไม่ได้ถูก เหนียน ทำร้าย
ต่อมาพบว่า เหนียน มีจุดอ่อน มีอยู่ครั้งหนึ่ง เมื่อ เหนียน มาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีเด็กกลุ่มหนึ่งกำลังหวดแส้เล่นกัน เมื่อ เหนียน ได้ยินเสียงแส้ดังเปรี้ยงปร้างก็เลยตกใจเผ่นหนีไป เมื่อ เหนียน ไปถึงหมู่บ้านอีกแห่งหนึ่ง เห็นมีชุดเสื้อผ้าสีแดงตากอยู่หน้าบ้านของครอบครัวหนึ่ง สีแดงฉูดฉาดนั้น ทำให้ เหนียน ตกใจและเผ่นหนีไปอีก เมื่อ เหนียน มาถึงหมู่บ้านแห่งที่สาม ปรากฏว่าไปพบเห็นกองเพลิงกองหนึ่งบนถนน แสงเพลิงที่เจิดจ้าทำให้ เหนียน ต้องเผ่นหนีไปอีก ตั้งแต่นั้นมา ผู้คนต่างรู้ว่า แม้ว่า เหนียน จะดุร้ายแต่มันก็กลัวสีแดง เสียงดัง และไฟ ทำให้ผู้คนสามารถคิดหาวิธีกำจัด เหนียน ได้โดยไม่ยากนัก
เมื่อวันส่งท้ายตรุษจีนเวียนมาอีกครั้งหนึ่ง ทุก ๆ ครัวเรือนจึงต่างนำกระดาษสีแดงมาติดไว้บนประตูหน้าบ้าน แขวนโคมไฟสีแดง พร้อมกับจุดประทัดและตีฆ้องรัวกลองอย่างต่อเนื่อง เมื่อ เหนียน มาถึงในตอนเย็น เห็นทุก ๆ ครัวเรือนมีแสงไฟสว่างไสว มีเสียงประทัดดังสนั่นจึงตกใจเผ่นหนีกลับเข้าป่าไป และไม่กล้าออกมาอาละวาดอีก ทุก ๆ คนจึงผ่านพ้นคืนแห่งอันตรายไปอย่างปลอดภัย เมื่อฟ้าสางแล้ว ผู้คนจึงออกมาจากบ้าน กล่าวคำอวยพรซึ่งกันและกันอย่างมีความสุข พร้อมกับการนำอาหารออกมารับประทานร่วมกันอย่างสนุกสนาน
ต่อมา วันดังกล่าวจึงกลายมาเป็นวันเฉลิมฉลองที่มีแต่ความสุขที่เรียกกันว่า "ตรุษจีน"
ตรุษจีนนั้นคล้ายคลึงกับวันปีใหม่ในประเทศทางตะวันตก ร่องรอยของประเพณี และพิธีกรรมความเป็นมาของการฉลองตรุษจีน นั้นมีมานานกว่าศตวรรษ จริงๆแล้วนานมาก จนไม่สามารถย้อนกลับไปดูว่า เริ่มต้นฉลองมาตั้งแต่เมื่อไร เป็นที่รู้จักและจำได้ทั่วไปว่าเป็น การฉลองเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ และการฉลองเป็นเวลานานถึง 15 วัน
การเตรียมงานฉลองส่วนใหญ่จะเริ่มหนึ่งเดือนก่อนวันตรุษจีน (คล้ายกับวัน คริสต์มาสของประเทศตะวันตก) เมื่อผู้คนเริ่มซื้อของขวัญ, สิ่งต่างๆ เพื่อประดับบ้านเรือน, อาหารและเสื้อผ้า การทำความสะอาดครั้งใหญ่ก็เริ่มขึ้นในวันก่อนตรุษจีน บ้านเรือนจะถูก ทำความสะอาดตั้งแต่บนลงล่างหน้าบ้านยันท้ายบ้าน ซึ่งหมายถึงการกวาดเอาโชคร้าย ออกไป ประตูหน้าต่างมีการขัดสีฉวีวรรณทาสีใหม่ซึ่งสีแดงเป็นสีนิยม ประตูหน้าต่างจะถูก ประดับประดาด้วยกระดาษที่มีคำอวยพรอย่างเช่น อยู่ดีมีสุข ร่ำรวย และอายุยืนเป็นต้น
วันก่อนวันตรุษจีนนั้นเป็นวันแห่งการการรอคอยจะว่าไปถือวันที่น่าตื่นเต้นมากที่สุด ในบรรดาการฉลองทั้งหมดเห็นจะได้ ประเพณีและพิธีกรรมต่างๆ นั้นผูกไว้กับทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่ อาหาร ไปจนถึงเสื้อผ้า อาหารค่ำนั้นประกอบด้วยอาหารทะเล และอาหารนึ่งเช่นขนมจีบ ซึ่งแต่ละอย่างจะมีความหมายต่างๆกัน อาหารอันโอชะอย่างเช่นกุ้งจะหมายถึงชีวิตที่รุ่งเรือง และความสุข เป๋าฮื้อแห้งหมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ดี สลัดปลาสดจะนำมาซึ่งโชคดี จี้ไช่ (ผมเทวดา) สาร่ายดูคล้ายผมแต่กินได้จะนำความความร่ำรวยมาให้ และขนมต้ม (Jiaozi) หมายถึงบรรพชนอวยพร และเป็นธรรมดาเสื้อผ้าที่ใส่สีแดงถือเป็นสีที่เป็นมงคลเป็นการไล่ปีศาจร้ายให้ออกไป และการใส่สีดำหรือขาวเป็นสิ่งต้องห้าม ซึ่งสีเหล่านี้ถือว่าเป็นสีแห่งการไว้ทุกข์ หลังจากอาหารค่ำทุกคนในครอบครัวนั่งกันจนเช้าเพื่อรอวันใหม่โดยการเล่นเกม เล่นไพ่ หรือดูรายการทีวีที่เกี่ยวกับวันตรุษจีน และในวันนี้จะต้องไม่โกรธ ริษยา หรือ ไม่พอใจ เพื่อเป็นสิริมงคลที่ดีสำหรับปีที่กำลังจะมาถึง
เมื่อถึงวันตรุษจีน ประเพณีตั้งแต่โบราณมาเรียกว่า อังเปา ซึ่งหมายถึง กระเป๋าแดง เป็นการที่คู่แต่งงานให้เงินเด็กๆ และผู้ใหญ่ที่ยังไม่ได้แต่งงานในซองสีแดง หลังจากนั้นทุกคน ในครอบครัว ต่าง ออกมาเพื่อกล่าวสวัสดีปีใหม่ เริ่มจากญาติๆ แล้วต่อด้วยเพื่อนบ้าน ซึ่งคงคล้ายกับการที่ชาวตะวันตกพูดว่า "Let bygones be bygones" (อะไรที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป) ในวันตรุษนี้ อารมณ์โมโหโกรธาจะถูกลืม และไม่สนใจ การฉลองวันตรุษจีนสิ้นสุดลงในงานโคมไฟ ซึ่งฉลองโดยการร้องเพลง เต้นรำ และงานแสดงโคมไฟ ถึงแม้ว่าการฉลองวันตรุษจีน จะมีแตกต่างกันออกไปแต่สิ่งที่เหมือนกัน คือ การอวยพร ความสงบ และความสุขให้กับคนในครอบครัวและเพื่อนทุกคน
ตำนานวันตรุษจีน
ตรุษจีน เป็นวันสำคัญของจีนที่มีมาแต่โบราณที่เรียกว่า “กว้อชุนเจี๋ย” หรือ “กว้อเหนียน” เล่ากันว่าในสมัยโบราณ ในป่าทึบแห่งหนึ่ง มีสัตว์ป่าที่ดุร้ายและน่ากลัวมากตัวหนึ่ง เรียกว่า “เหนียน” มันออกอาละวาดกินคนเป็นประจำ พระเจ้าจึงลงโทษมัน อนุญาตให้มันลงมาจากเขาได้เพียงหนึ่งครั้งใน 365 วัน ดังนั้น เมื่อฤดูหนาวใกล้จะผ่านไป ฤดูใบไม้ผลิเวียนมาใกล้ เหนียน ก็จะออกมาทำร้ายผู้คน เพื่อป้องกันการมาของ เหนียน ทุก ๆ ครัวเรือนจึงต่างสะสมเสบียงอาหาร และกับข้าวจำนวนหนึ่งไว้ในบ้าน เมื่อถึงตอนค่ำของวันที่ 30 เดือน 12 ก็จะปิดประตูและหน้าต่างเอาไว้ ไม่หลับไม่นอนตลอดคืน เพื่อต่อสู้กับ เหนียน จนกระทั่งถึงรุ่งเช้าก็จะเป็นวันแรม 1 ค่ำ เดือน 1 เมื่อ เหนียน กลับไปแล้ว ทุก ๆ ครัวเรือนก็จะเปิดประตูออกมาแสดงความยินดีต่อกัน ที่โชคดีไม่ได้ถูก เหนียน ทำร้าย
ต่อมาพบว่า เหนียน มีจุดอ่อน มีอยู่ครั้งหนึ่ง เมื่อ เหนียน มาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีเด็กกลุ่มหนึ่งกำลังหวดแส้เล่นกัน เมื่อ เหนียน ได้ยินเสียงแส้ดังเปรี้ยงปร้างก็เลยตกใจเผ่นหนีไป เมื่อ เหนียน ไปถึงหมู่บ้านอีกแห่งหนึ่ง เห็นมีชุดเสื้อผ้าสีแดงตากอยู่หน้าบ้านของครอบครัวหนึ่ง สีแดงฉูดฉาดนั้น ทำให้ เหนียน ตกใจและเผ่นหนีไปอีก เมื่อ เหนียน มาถึงหมู่บ้านแห่งที่สาม ปรากฏว่าไปพบเห็นกองเพลิงกองหนึ่งบนถนน แสงเพลิงที่เจิดจ้าทำให้ เหนียน ต้องเผ่นหนีไปอีก ตั้งแต่นั้นมา ผู้คนต่างรู้ว่า แม้ว่า เหนียน จะดุร้ายแต่มันก็กลัวสีแดง เสียงดัง และไฟ ทำให้ผู้คนสามารถคิดหาวิธีกำจัด เหนียน ได้โดยไม่ยากนัก
เมื่อวันส่งท้ายตรุษจีนเวียนมาอีกครั้งหนึ่ง ทุก ๆ ครัวเรือนจึงต่างนำกระดาษสีแดงมาติดไว้บนประตูหน้าบ้าน แขวนโคมไฟสีแดง พร้อมกับจุดประทัดและตีฆ้องรัวกลองอย่างต่อเนื่อง เมื่อ เหนียน มาถึงในตอนเย็น เห็นทุก ๆ ครัวเรือนมีแสงไฟสว่างไสว มีเสียงประทัดดังสนั่นจึงตกใจเผ่นหนีกลับเข้าป่าไป และไม่กล้าออกมาอาละวาดอีก ทุก ๆ คนจึงผ่านพ้นคืนแห่งอันตรายไปอย่างปลอดภัย เมื่อฟ้าสางแล้ว ผู้คนจึงออกมาจากบ้าน กล่าวคำอวยพรซึ่งกันและกันอย่างมีความสุข พร้อมกับการนำอาหารออกมารับประทานร่วมกันอย่างสนุกสนาน
ต่อมา วันดังกล่าวจึงกลายมาเป็นวันเฉลิมฉลองที่มีแต่ความสุขที่เรียกกันว่า "ตรุษจีน"
วันวาเลนไทน์ Valentine's Day
เมื่อถึงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ของทุกๆ ปี จะมีหนุ่มสาวหรือคนบางกลุ่มนิยมส่งดอกกุหลาบสีแดง หรือบัตรรูปหัวใจให้แก่กันและกันซึ่งเป็นเครื่องหมายแสดงเจตนารมณ ์ของความรักความเข้าใจต่อกัน วันวาเลนไทน์ ธรรมเนียมฝรั่งเขาส่งบัตรหรือของขวัญเล็กๆน้อยๆ ไปให้แก่คนที่เขารักโดยไม่บอกชื่อผู้ส่ง ซึ่งจะมาจากใครก็ได้
ตามประวัติกล่าวว่า วันนี้เป็นวันมรณภาพของนักบุญในศาสนาคริสต์ท่านหนึ่งชื่อว่า เซนต์วาเลนไทน์ ท่านผู้นี้ถูกพวกโรมันจับลงโทษถึงแก่ความตาย ในสมัยพระเจ้าจักรพรรดิคลอดิอุสที่ 2 ก่อนคริสต์ศักราช 269 ปี เนื่องจากท่านเป็นชาวโรมัน แต่ไปนับถือศาสนาคริสต์ และได้เข้าบวชอยู่ในศาสนานั้น ชื่อว่า วาเลนตินุส (VALENTINUS) ในสมัยนั้น ประชาชนชาวโรมันนับถือศาสนาของชาวโรมันอีกศาสนาหนึ่ง ซึ่งมีพระผู้เป็นเจ้าและเทวดาหลายองค์
มีโบสถ์วิหารสำหรับพิธีบูชามีสมณะและนางชีเช่นเดียวกับศาสนาคริสต์ในสมัยนี้ ในระยะเริ่มแรกที่ศาสนาคริสต์เข้ามาเผยแพร่ในกรุงโรม ทางรัฐบาลกรุงโรมเห็นว่าเป็นลัทธิที่อันตราย ต่อสังคมชาวโรมันเป็นอย่างยิ่ง ผู้ใดนับถือศาสนาคริสต์ก็จะถูกจับตัวไปลงโทษอย่างรุนแรงต่อสาธารณชน เช่น ให้สัตว์ป่ากัดตาย ตรึงไม้กางเขนให้ตายบ้าง หรือเผาทั้งเป็น เป็นต้น พวกที่นับถือศาสนาคริสต์ต้องคอยหลบซ่อนตัวไม่บอกให้ใครรู้ว่าตนเป็นคริสต์ศาสนิกชน และเมื่อถึงเวลาทำพิธีกรรมทางศาสนาของตน จะต้องแอบหนีลงไปทำพิธีในอุโมงค์ที่ใช้บรรจุศพ นอกกรุงโรม นักบุญวาเลนไทน์เป็นผู้กล้าหาญและคอยช่วยเหลือคนที่นับถือศาสนาคริสต์อยู่เสมอมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ถูกทางราชการของกรุงโรมจับไปขังคุกหรือเอาไปทรมาน ในที่สุดท่านเองก็ถูกทางราชการของกรุงโรมจับตัวได้และเอาไปขังคุกไว้
เมื่อนักบุญวาเลนไทน์อยู่ในคุก มีผู้คุมชื่อ อัสเตริอุส (ASTERIUS) เป็นผู้มีจิตใจเมตตาและคอยให้ความช่วยเหลือมิให้เดือดร้อน ผู้คุมมีลูกสาวอยู่คนหนึ่งตาบอดทั้ง 2 ข้าง ระหว่างที่นักบุญวาเลนไทน์ติดคุกอยู่นั้น ลูกสาวผู้คุมก็นำอาหารให้และช่วยติดต่อกับคนนอกคุก ที่นับถือศาสนาศริสต์ให้แก่นักบุญวาเลนไทน์ ขณะที่อยู่ในคุก นักบุญวาเลนไทน์ได้แสดงอภินิหาร ด้วยการทำให้ตาทั้งสองข้างของลูกสาวผู้คุมหายบอด กลับมาเป็นคนตาดี และได้อบรมเกลี้ยกล่อมผู้คุมทั้งลูกสาวให้นับถือศาสนาคริสต์ด้วย หลังจากนักบุญวาเลนไทน์ติดคุกมาเป็นเวลา 1 ปีพระเจ้าจักรพรรดิคลอดิอุสที่ 2 ก็มีคำสั่งให้นักบุญเข้าเฝ้า
เมื่อพระเจ้าจักรพรรดิทอดพระเนตรเห็นนักบุญก็รู้สึกต้องพระทัยในกริยามารยาท ความสำรวมและความมีสง่าราศีของนักบุญ จึงตรัสเกลี้ยกล่อมให้นักบุญเลิกนับถือศาสนาคริตส์เสีย แล้วกลับมานับถือศาสนาของชาวโรมันต่อไปตามเดิม พระองค์จะพระราชทานอภัยโทษให้ แต่นักบุญวาเลนไทน์ก็ปฏิเสธ ไม่ยอมเลิกนับถือศาสนาคริสต์ มิหนำซ้ำกับเริ่มสั่งสอนอบรมพระเจ้าจักรพรรดิให้ทรงเห็นดีเห็นชอบ และทรงนับถือศาสนาคริสต์ พระเจ้าจักรพรรดิกริ้วมาก จึงมีรับสั่งให้นำตัวนักบุญวาเลนไทน์ไปตีด้วยไม้กระบอง แล้วเอาก้อนหินทุ่มจนถึงแก่ความตาย
ผู้ที่ตายเพื่อศาสนาและได้เกลี้ยกล่อมให้คนอื่นหันมายอมรับนับถือศาสนา เป็นผ้ที่ควรได้รับการยกย่อง และยังสามารถทำปาฏิหารย์รักษาให้คนตาบอดเป็นคนตาดีได้รับการยกย่องให้เป็นนักบุญหรือเซนต์ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันที่ศริสต์ศาสนิกชนถือว่า เป็นวันของเซนต์วาเลนไทน์ เพราะว่าเป็นวันที่ท่านถึงแก่มรณภาพ ในสมัยโรมันเมื่อสองพันกว่าปีมาแล้ว วันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันตรุษที่เรียกว่า ลูเปอร์คาเลีย(lupercalia) มีความสำคัญมากในทางเพศ ผู้ชายจะวิ่งแก้ผ้าหาคู่เพื่อฉลองตรุษโดยจับฉลากชื่อหญิงสาวแล้วเกี้ยวพาราสีจนได้เป็นภรรยา
ส่วนประเทศอังกฤษไม่ได้มาจากนักบุญ แต่บังเอิญมาตรงกันพอดี คือวันที่ 14 กุมภาพันธ์เป็นวันเริ่มต้นปักษ์ที่ 2 แห่งเดือนที่สองของปี คนยุโรปจึงจับคู่กัน เอาเป็นวันส่งบัตรหรือของขวัญให้คนรักให้คนรัก นิยมในกลุ่มหนุ่มสาว
The History of Valentine's Day
Every February, across the country, candy, flowers, and gifts are exchanged between loved ones, all in the name of St. Valentine. But who is this mysterious saint and why do we celebrate this holiday? The history of Valentine's Day -- and its patron saint -- is shrouded in mystery. But we do know that February has long been a month of romance. St. Valentine's Day, as we know it today, contains vestiges of both Christian and ancient Roman tradition. So, who was Saint Valentine and how did he become associated with this ancient rite? Today, the Catholic Church recognizes at least three different saints named Valentine or Valentinus, all of whom were martyred.
One legend contends that Valentine was a priest who served during the third century in Rome. When Emperor Claudius II decided that single men made better soldiers than those with wives and families, he outlawed marriage for young men -- his crop of potential soldiers. Valentine, realizing the injustice of the decree, defied Claudius and continued to perform marriages for young lovers in secret. When Valentine's actions were discovered, Claudius ordered that he be put to death.
Other stories suggest that Valentine may have been killed for attempting to help Christians escape harsh Roman prisons where they were often beaten and tortured.
According to one legend, Valentine actually sent the first 'valentine' greeting himself. While in prison, it is believed that Valentine fell in love with a young girl -- who may have been his jailor's daughter -- who visited him during his confinement. Before his death, it is alleged that he wrote her a letter, which he signed 'From your Valentine,' an expression that is still in use today. Although the truth behind the Valentine legends is murky, the stories certainly emphasize his appeal as a sympathetic, heroic, and, most importantly, romantic figure. It's no surprise that by the Middle Ages, Valentine was one of the most popular saints in England and France.
Image courtesy of Corbis/Lake County Museum.
While some believe that Valentine's Day is celebrated in the middle of February to commemorate the anniversary of Valentine's death or burial -- which probably occurred around 270 A.D -- others claim that the Christian church may have decided to celebrate Valentine's feast day in the middle of February in an effort to 'christianize' celebrations of the pagan Lupercalia festival. In ancient Rome, February was the official beginning of spring and was considered a time for purification. Houses were ritually cleansed by sweeping them out and then sprinkling salt and a type of wheat called spelt throughout their interiors. Lupercalia, which began at the ides of February, February 15, was a fertility festival dedicated to Faunus, the Roman god of agriculture, as well as to the Roman founders Romulus and Remus.
To begin the festival, members of the Luperci, an order of Roman priests, would gather at the sacred cave where the infants Romulus and Remus, the founders of Rome, were believed to have been cared for by a she-wolf or lupa. The priests would then sacrifice a goat, for fertility, and a dog, for purification.
The boys then sliced the goat's hide into strips, dipped them in the sacrificial blood and took to the streets, gently slapping both women and fields of crops with the goathide strips. Far from being fearful, Roman women welcomed being touched with the hides because it was believed the strips would make them more fertile in the coming year. Later in the day, according to legend, all the young women in the city would place their names in a big urn. The city's bachelors would then each choose a name out of the urn and become paired for the year with his chosen woman. These matches often ended in marriage. Pope Gelasius declared February 14 St. Valentine's Day around 498 A.D. The Roman 'lottery' system for romantic pairing was deemed un-Christian and outlawed. Later, during the Middle Ages, it was commonly believed in France and England that February 14 was the beginning of birds' mating season, which added to the idea that the middle of February -- Valentine's Day -- should be a day for romance. The oldest known valentine still in existence today was a poem written by Charles, Duke of Orleans to his wife while he was imprisoned in the Tower of London following his capture at the Battle of Agincourt. The greeting, which was written in 1415, is part of the manuscript collection of the British Library in London, England. Several years later, it is believed that King Henry V hired a writer named John Lydgate to compose a valentine note to Catherine of Valois.
Image courtesy of Corbis
In Great Britain, Valentine's Day began to be popularly celebrated around the seventeenth century. By the middle of the eighteenth century, it was common for friends and lovers in all social classes to exchange small tokens of affection or handwritten notes. By the end of the century, printed cards began to replace written letters due to improvements in printing technology. Ready-made cards were an easy way for people to express their emotions in a time when direct expression of one's feelings was discouraged. Cheaper postage rates also contributed to an increase in the popularity of sending Valentine's Day greetings. Americans probably began exchanging hand-made valentines in the early 1700s. In the 1840s, Esther A. Howland began to sell the first mass-produced valentines in America.
According to the Greeting Card Association, an estimated one billion valentine cards are sent each year, making Valentine's Day the second largest card-sending holiday of the year. (An estimated 2.6 billion cards are sent for Christmas.)
Approximately 85 percent of all valentines are purchased by women. In addition to the United States, Valentine's Day is celebrated in Canada, Mexico, the United Kingdom, France, and Australia.
ตามประวัติกล่าวว่า วันนี้เป็นวันมรณภาพของนักบุญในศาสนาคริสต์ท่านหนึ่งชื่อว่า เซนต์วาเลนไทน์ ท่านผู้นี้ถูกพวกโรมันจับลงโทษถึงแก่ความตาย ในสมัยพระเจ้าจักรพรรดิคลอดิอุสที่ 2 ก่อนคริสต์ศักราช 269 ปี เนื่องจากท่านเป็นชาวโรมัน แต่ไปนับถือศาสนาคริสต์ และได้เข้าบวชอยู่ในศาสนานั้น ชื่อว่า วาเลนตินุส (VALENTINUS) ในสมัยนั้น ประชาชนชาวโรมันนับถือศาสนาของชาวโรมันอีกศาสนาหนึ่ง ซึ่งมีพระผู้เป็นเจ้าและเทวดาหลายองค์
มีโบสถ์วิหารสำหรับพิธีบูชามีสมณะและนางชีเช่นเดียวกับศาสนาคริสต์ในสมัยนี้ ในระยะเริ่มแรกที่ศาสนาคริสต์เข้ามาเผยแพร่ในกรุงโรม ทางรัฐบาลกรุงโรมเห็นว่าเป็นลัทธิที่อันตราย ต่อสังคมชาวโรมันเป็นอย่างยิ่ง ผู้ใดนับถือศาสนาคริสต์ก็จะถูกจับตัวไปลงโทษอย่างรุนแรงต่อสาธารณชน เช่น ให้สัตว์ป่ากัดตาย ตรึงไม้กางเขนให้ตายบ้าง หรือเผาทั้งเป็น เป็นต้น พวกที่นับถือศาสนาคริสต์ต้องคอยหลบซ่อนตัวไม่บอกให้ใครรู้ว่าตนเป็นคริสต์ศาสนิกชน และเมื่อถึงเวลาทำพิธีกรรมทางศาสนาของตน จะต้องแอบหนีลงไปทำพิธีในอุโมงค์ที่ใช้บรรจุศพ นอกกรุงโรม นักบุญวาเลนไทน์เป็นผู้กล้าหาญและคอยช่วยเหลือคนที่นับถือศาสนาคริสต์อยู่เสมอมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ถูกทางราชการของกรุงโรมจับไปขังคุกหรือเอาไปทรมาน ในที่สุดท่านเองก็ถูกทางราชการของกรุงโรมจับตัวได้และเอาไปขังคุกไว้
เมื่อนักบุญวาเลนไทน์อยู่ในคุก มีผู้คุมชื่อ อัสเตริอุส (ASTERIUS) เป็นผู้มีจิตใจเมตตาและคอยให้ความช่วยเหลือมิให้เดือดร้อน ผู้คุมมีลูกสาวอยู่คนหนึ่งตาบอดทั้ง 2 ข้าง ระหว่างที่นักบุญวาเลนไทน์ติดคุกอยู่นั้น ลูกสาวผู้คุมก็นำอาหารให้และช่วยติดต่อกับคนนอกคุก ที่นับถือศาสนาศริสต์ให้แก่นักบุญวาเลนไทน์ ขณะที่อยู่ในคุก นักบุญวาเลนไทน์ได้แสดงอภินิหาร ด้วยการทำให้ตาทั้งสองข้างของลูกสาวผู้คุมหายบอด กลับมาเป็นคนตาดี และได้อบรมเกลี้ยกล่อมผู้คุมทั้งลูกสาวให้นับถือศาสนาคริสต์ด้วย หลังจากนักบุญวาเลนไทน์ติดคุกมาเป็นเวลา 1 ปีพระเจ้าจักรพรรดิคลอดิอุสที่ 2 ก็มีคำสั่งให้นักบุญเข้าเฝ้า
เมื่อพระเจ้าจักรพรรดิทอดพระเนตรเห็นนักบุญก็รู้สึกต้องพระทัยในกริยามารยาท ความสำรวมและความมีสง่าราศีของนักบุญ จึงตรัสเกลี้ยกล่อมให้นักบุญเลิกนับถือศาสนาคริตส์เสีย แล้วกลับมานับถือศาสนาของชาวโรมันต่อไปตามเดิม พระองค์จะพระราชทานอภัยโทษให้ แต่นักบุญวาเลนไทน์ก็ปฏิเสธ ไม่ยอมเลิกนับถือศาสนาคริสต์ มิหนำซ้ำกับเริ่มสั่งสอนอบรมพระเจ้าจักรพรรดิให้ทรงเห็นดีเห็นชอบ และทรงนับถือศาสนาคริสต์ พระเจ้าจักรพรรดิกริ้วมาก จึงมีรับสั่งให้นำตัวนักบุญวาเลนไทน์ไปตีด้วยไม้กระบอง แล้วเอาก้อนหินทุ่มจนถึงแก่ความตาย
ผู้ที่ตายเพื่อศาสนาและได้เกลี้ยกล่อมให้คนอื่นหันมายอมรับนับถือศาสนา เป็นผ้ที่ควรได้รับการยกย่อง และยังสามารถทำปาฏิหารย์รักษาให้คนตาบอดเป็นคนตาดีได้รับการยกย่องให้เป็นนักบุญหรือเซนต์ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันที่ศริสต์ศาสนิกชนถือว่า เป็นวันของเซนต์วาเลนไทน์ เพราะว่าเป็นวันที่ท่านถึงแก่มรณภาพ ในสมัยโรมันเมื่อสองพันกว่าปีมาแล้ว วันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันตรุษที่เรียกว่า ลูเปอร์คาเลีย(lupercalia) มีความสำคัญมากในทางเพศ ผู้ชายจะวิ่งแก้ผ้าหาคู่เพื่อฉลองตรุษโดยจับฉลากชื่อหญิงสาวแล้วเกี้ยวพาราสีจนได้เป็นภรรยา
ส่วนประเทศอังกฤษไม่ได้มาจากนักบุญ แต่บังเอิญมาตรงกันพอดี คือวันที่ 14 กุมภาพันธ์เป็นวันเริ่มต้นปักษ์ที่ 2 แห่งเดือนที่สองของปี คนยุโรปจึงจับคู่กัน เอาเป็นวันส่งบัตรหรือของขวัญให้คนรักให้คนรัก นิยมในกลุ่มหนุ่มสาว
The History of Valentine's Day
Every February, across the country, candy, flowers, and gifts are exchanged between loved ones, all in the name of St. Valentine. But who is this mysterious saint and why do we celebrate this holiday? The history of Valentine's Day -- and its patron saint -- is shrouded in mystery. But we do know that February has long been a month of romance. St. Valentine's Day, as we know it today, contains vestiges of both Christian and ancient Roman tradition. So, who was Saint Valentine and how did he become associated with this ancient rite? Today, the Catholic Church recognizes at least three different saints named Valentine or Valentinus, all of whom were martyred.
One legend contends that Valentine was a priest who served during the third century in Rome. When Emperor Claudius II decided that single men made better soldiers than those with wives and families, he outlawed marriage for young men -- his crop of potential soldiers. Valentine, realizing the injustice of the decree, defied Claudius and continued to perform marriages for young lovers in secret. When Valentine's actions were discovered, Claudius ordered that he be put to death.
Other stories suggest that Valentine may have been killed for attempting to help Christians escape harsh Roman prisons where they were often beaten and tortured.
According to one legend, Valentine actually sent the first 'valentine' greeting himself. While in prison, it is believed that Valentine fell in love with a young girl -- who may have been his jailor's daughter -- who visited him during his confinement. Before his death, it is alleged that he wrote her a letter, which he signed 'From your Valentine,' an expression that is still in use today. Although the truth behind the Valentine legends is murky, the stories certainly emphasize his appeal as a sympathetic, heroic, and, most importantly, romantic figure. It's no surprise that by the Middle Ages, Valentine was one of the most popular saints in England and France.
Image courtesy of Corbis/Lake County Museum.
While some believe that Valentine's Day is celebrated in the middle of February to commemorate the anniversary of Valentine's death or burial -- which probably occurred around 270 A.D -- others claim that the Christian church may have decided to celebrate Valentine's feast day in the middle of February in an effort to 'christianize' celebrations of the pagan Lupercalia festival. In ancient Rome, February was the official beginning of spring and was considered a time for purification. Houses were ritually cleansed by sweeping them out and then sprinkling salt and a type of wheat called spelt throughout their interiors. Lupercalia, which began at the ides of February, February 15, was a fertility festival dedicated to Faunus, the Roman god of agriculture, as well as to the Roman founders Romulus and Remus.
To begin the festival, members of the Luperci, an order of Roman priests, would gather at the sacred cave where the infants Romulus and Remus, the founders of Rome, were believed to have been cared for by a she-wolf or lupa. The priests would then sacrifice a goat, for fertility, and a dog, for purification.
The boys then sliced the goat's hide into strips, dipped them in the sacrificial blood and took to the streets, gently slapping both women and fields of crops with the goathide strips. Far from being fearful, Roman women welcomed being touched with the hides because it was believed the strips would make them more fertile in the coming year. Later in the day, according to legend, all the young women in the city would place their names in a big urn. The city's bachelors would then each choose a name out of the urn and become paired for the year with his chosen woman. These matches often ended in marriage. Pope Gelasius declared February 14 St. Valentine's Day around 498 A.D. The Roman 'lottery' system for romantic pairing was deemed un-Christian and outlawed. Later, during the Middle Ages, it was commonly believed in France and England that February 14 was the beginning of birds' mating season, which added to the idea that the middle of February -- Valentine's Day -- should be a day for romance. The oldest known valentine still in existence today was a poem written by Charles, Duke of Orleans to his wife while he was imprisoned in the Tower of London following his capture at the Battle of Agincourt. The greeting, which was written in 1415, is part of the manuscript collection of the British Library in London, England. Several years later, it is believed that King Henry V hired a writer named John Lydgate to compose a valentine note to Catherine of Valois.
Image courtesy of Corbis
In Great Britain, Valentine's Day began to be popularly celebrated around the seventeenth century. By the middle of the eighteenth century, it was common for friends and lovers in all social classes to exchange small tokens of affection or handwritten notes. By the end of the century, printed cards began to replace written letters due to improvements in printing technology. Ready-made cards were an easy way for people to express their emotions in a time when direct expression of one's feelings was discouraged. Cheaper postage rates also contributed to an increase in the popularity of sending Valentine's Day greetings. Americans probably began exchanging hand-made valentines in the early 1700s. In the 1840s, Esther A. Howland began to sell the first mass-produced valentines in America.
According to the Greeting Card Association, an estimated one billion valentine cards are sent each year, making Valentine's Day the second largest card-sending holiday of the year. (An estimated 2.6 billion cards are sent for Christmas.)
Approximately 85 percent of all valentines are purchased by women. In addition to the United States, Valentine's Day is celebrated in Canada, Mexico, the United Kingdom, France, and Australia.
วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
Sigmund Freud
Born Sigismund Schlomo Freud
6 May 1856(1856-05-06)
Freiberg, Moravia, Austria–Hungary, (now the Czech Republic)
Died 23 September 1939 (aged 83)
London, England, UK
Residence Austria, UK
Nationality Austrian
Ethnicity Ashkenazi Jew
Fields Neurology
Philosophy
Psychiatry
Psychology
Psychotherapy
Psychoanalysis
Literature
Institutions University of Vienna
Alma mater University of Vienna
Known for Psychoanalysis
Influences Arthur Schopenhauer
Friedrich Nietzsche
Jean-Martin Charcot
Josef Breuer
Influenced John Bowlby
Viktor Frankl
Anna Freud
Ernest Jones
Carl Jung
Melanie Klein
Jacques Lacan
Fritz Perls
Otto Rank
Wilhelm Reich
Notable awards Goethe Prize
6 May 1856(1856-05-06)
Freiberg, Moravia, Austria–Hungary, (now the Czech Republic)
Died 23 September 1939 (aged 83)
London, England, UK
Residence Austria, UK
Nationality Austrian
Ethnicity Ashkenazi Jew
Fields Neurology
Philosophy
Psychiatry
Psychology
Psychotherapy
Psychoanalysis
Literature
Institutions University of Vienna
Alma mater University of Vienna
Known for Psychoanalysis
Influences Arthur Schopenhauer
Friedrich Nietzsche
Jean-Martin Charcot
Josef Breuer
Influenced John Bowlby
Viktor Frankl
Anna Freud
Ernest Jones
Carl Jung
Melanie Klein
Jacques Lacan
Fritz Perls
Otto Rank
Wilhelm Reich
Notable awards Goethe Prize
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
ผู้ติดตาม
คลังบทความของบล็อก
-
▼
2010
(72)
- ▼ กุมภาพันธ์ (6)