วันศุกร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2553

อดอล์ฟ ฮิตเลอร์





เกิด 20 เม.ย. ปีค.ศ.1889 ที่เมืองเบราเนา ประเทศออสเตรีย ติดชายแดนเยอรมนี ทั้งพ่อ-อาลัวส์ และแม่คาร่า มาจากครอบครัวเกษตรกรที่ยากจน แต่พ่อเป็นคนฉลาดและทะเยอทะยาน จึงก้าวขึ้นมาเป็นเจ้าหน้าที่ภาษี ช่วงที่มาแต่งงานกับแม่ อายุห่างกันถึง 23 ปี และมีลูกติดมา 2 คน ทำให้ฮิตเลอร์มีพี่น้องถึง 5 คน แต่โตขึ้นมาเหลือรอดอยู่ 2 คน คือฮิตเลอร์และน้องสาว

พ่อฮิตเลอร์เป็นคนที่เข้มงวดมาก และนิยมใช้ความรุนแรงลงโทษหากลูกไม่เชื่อฟัง ฮิตเลอร์จึงเป็นเด็กเรียนดีในตอนต้น เพื่อนๆ ยกย่องให้เป็นผู้นำ ทั้งยังเคร่งศาสนา จนใครๆ คิดว่าโตขึ้นมาจะเป็นนักบวช

แต่พอขึ้นเรียนชั้นสูงขึ้น วิชาต่างๆ ก็เริ่มยากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อสอบไม่ได้ที่ 1 พ่อเริ่มเกรี้ยวกราด เพราะกลัวลูกจะเข้ารับราชการไม่ได้ ส่วนเพื่อนๆ ก็เริ่มไม่ปลื้มให้เป็นหัวหน้า ความกดดันต่างๆ ทำให้ฮิตเลอร์เบี่ยงไปสนใจการต่อสู้

ครูชั้นมัธยมฯ คนเดียวที่ฮิตเลอร์ชื่นชอบ คือลีโอโพลด์ พอตช์ ซึ่งเป็นคนนิยมความสำเร็จของเยอรมนี จึงมักเล่าถึงชัยชนะต่างๆ ของเยอรมันเหนือฝรั่งเศส ในศึกปีค.ศ.1870-1871 และต่อว่าออสเตรียว่าไม่ยอมเข้าร่วมกับเยอรมนี ฮิตเลอร์พานชอบเยอรมันไปด้วย โดยมีออตโต วอน บิสมาร์ก นายกรัฐมนตรีของอาณาจักรเยอรมนี เป็นฮีโร่ในดวงใจ

สำหรับวิชาที่ฮิตเลอร์สนใจมากอีกวิชาคือศิลปะ ซึ่งทำให้ทะเลาะรุนแรงกับพ่อ เพราะไม่เห็นด้วยเลยที่จะให้ลูกเป็นศิลปิน ศึกพ่อลูกสิ้นสุดลงในปีค.ศ.1903 เมื่อพ่อฮิตเลอร์เสียชีวิต ตอนนั้นครอบครัวไม่ได้รับผลกระทบอะไรมากทางการเงิน แต่ฮิตเลอร์ยังคงไม่รักเรียนเช่นเดิม จนแม่ยอมให้ออกจากโรงเรียน

ต่อมาในช่วงอายุ 18 ปี ฮิตเลอร์ได้รับมรดกของพ่อ และใช้เงินเดินทางไปกรุงเวียนนา หวังว่าจะไปเรียนวิชาศิลปะที่นั่น ฮิตเลอร์คิดว่าตนเองมีความสามารถทางศิลปะที่เหนือชั้น แต่พอไปถึงจริงกลับถูกสถาบันวิชาการศิลปะเวียนนาปฏิเสธใบสมัคร จากนั้นจึงย้ายไปสมัครที่โรงเรียนสถาปัตยกรรม แต่ไม่ได้อีก เพราะไม่มีใบรับรองจากโรงเรียนเก่า

ฮิตเลอร์อับอายมากที่ล้มเหลวเช่นนี้ จนไม่กล้าบอกความจริงกับแม่ว่าเกิดอะไรขึ้น แสร้งทำเป็นอยู่ในเวียนนาต่อไปว่าตนเองเป็นนักเรียนศิลปะ

หลังจากฮิตเลอร์ย้ายจากเมืองเบราเนาไปกรุงเวียนนา และเข้าเรียนศิลปะอย่างที่ใจหวังไม่ได้ ก็ไม่กล้าบอกแม่ว่าเกิดอะไรขึ้น แสร้งทำเป็นว่าเป็นนักเรียนศิลปะอยู่ที่กรุงเวียนนาอย่างนั้น โดยใช้เงินบำนาญมรดกของพ่อดำรงชีวิตในเมืองหลวงอย่างสบาย วันๆ ก็นอนเล่นอ่านหนังสือ ตกบ่ายไปพิพิธภัณฑ์ศิลปะ จนกระทั่งปีค.ศ.1907 แม่เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง

การเสียชีวิตของแม่ทำให้ฮิตเลอร์เสียใจสุดซึ้ง เพราะรักแม่มากและมากกว่าพ่อ ตามประวัติศาสตร์ฮิตเลอร์ถือรูปแม่ไปทุกที่แม้กระทั่งวาระสุดท้ายรูปก็ยังอยู่ในมือ

ในปีค.ศ.1909 ซึ่งเป็นปีที่ควรเกณฑ์ทหาร ฮิตเลอร์กลับไม่ยอมรับใช้กองทัพออสเตรียของตัวเอง เพราะแค้นอยู่ลึกๆ ที่สถาบันการศึกษาออสเตรียไม่เปิดโอกาสให้เรียน นอกจากนี้ยังชื่นชมอาณาจักรเยอรมนีที่เหนือกว่าออสเตรียมาตั้งแต่เด็ก จึงไปเป็นอาสาสมัครในกองทัพเยอรมนี ขึ้นชื่อว่าเป็นทหารกล้าตาย สู้เลือดเดือด

ช่วงเวลานี้ชีวิตของฮิตเลอร์มีทั้งขึ้นและลง หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลง ฮิตเลอร์ ย้ายไปอยู่มิวนิกและเริ่มชีวิตทางการเมือง ซึ่งล้มลุกคลุกคลานอยู่นาน จนกระทั่งปีค.ศ.1921 ก้าวขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคนาซี มีนโยบายต่อต้านชาวยิวและผู้นิยมลัทธิสังคมนิยม

ในปี 1933 ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีและหนึ่งปีถัดจากนั้นตั้งตนเป็นเผด็จการสมบูรณ์แบบ สร้างกองทัพยึดคืนแคว้นไรน์ และในปี 1936 ร่วมมือกับเผด็จการมุสโสลินีของอิตาลีบุกยึดออสเตรีย ชาติเกิดของตนเอง ตามด้วยเชโกสโลวะเกีย

สำหรับเชโกฯ นั้นบุกยากกว่าออสเตรีย เพราะมีฝรั่งเศสเป็นพันธมิตร ทางด้านอังกฤษจึงเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยแบ่งพื้นที่บางส่วนของเชโกฯ ให้เยอรมัน แต่ภายหลังถูกฮิตเลอร์หักหลังเข้ายึดทั้งประเทศ ทำให้อังกฤษอับอายมาก


ด้วยความที่ได้คืบจะเอาศอก ฮิตเลอร์ลุยต่อไปที่โปแลนด์ คราวนี้อังกฤษกับฝรั่งเศสไม่ยอมอีกแล้ว วันที่ 3 ก.ย.1939 จึงประกาศสงครามโลกครั้งที่ 2 กับเยอรมัน ฝ่ายพันธมิตรและอักษะสู้รบกันอยู่นานถึงปี 1945 ฝ่ายอักษะพ่ายแพ้ ฮิตเลอร์ฆ่าตัวตายพร้อมหญิงคนรัก อีวา วันที่ 30 เม.ย. ปีค.ศ.1945

วันพุธที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2553

10 ห้องโปรดในโรงเรียน ที่นักเรียนชอบเข้า

1.ห้องดนตรี - ห้องแห่งเสียงเพลงและทำนอง สำหรับคนที่เรียนวิชาดนตรี ในที่นี้มีทั้งดนตรีไทยและดนตรีสากลนะคะ ห้องดนตรีสากล จะออกแนวบันเทิง เป็นแหล่งฝึกฝนวิชากันไป ส่วนห้องดนตรีไทย ก็ต้องสงบๆ และเคารพกันนิดหนึ่ง

2.ห้องศิลปะ - ห้องนี้สำหรับสร้างสรรค์จินตนาการค่ะ บรรยากาศก็จะอิสระนิดๆ คนที่ชอบวาดนั่นนี่ เข้าห้องนี้แล้วสุขสุดๆ หรือใครเก็บกดอารมณ์อะไรมา แอบมาติสท์แตกในนี้ ก็ถือว่าถูกทาง

3.ห้องคอมพิวเตอร์ - จะชอบมากเวลาพัก หรือเวลาว่าง เพราะชอบเข้าเน็ตมาดูข่าวสารความเคลื่อนไหว ดูรูป ดูคลิปนักร้องสุดที่รัก หรือเข้ามาหาสังคมออนไลน์

4.ห้องโสตทัศนศึกษา - เรียนสั้นๆว่าห้องโสตฯ สำหรับวิชาที่ต้องดูวิดิโอหรือมีฉายสไลด์ บางครั้งเวลาว่างก็อาจขออาจารย์มาเปิดดูหนังดูอะไรพักผ่อนได้บ้าง ยิ่งถ้ามีชุมนุมโสตฯด้วยละก็ จะเป็นชุมนุมที่คนเต็มไวที่สุดเลยไม่รู้ทำไม

5.ห้องพยาบาล - รู้สึกรุมๆ ตัวร้อนๆ ก็แวะไปห้องนี้สักหน่อย ได้กินยา หรือได้นอนพักในห้องนี้ แต่เห็นหลายคนอยากป่วย หรือทำตัวเหมือนป่วย ไปนอนบ่อยๆ


6.ห้องสมุด - ขึ้นชื่อว่าห้องสมุด ต้องรักษาความสงบเงียบอย่างเคร่งครัด เหมาะนักที่จะไปหาสมาธิ หลบลี้หนีจากผู้คน หรือแอบหลับตรงมุมชั้นวางหนังสือก็ยังได้



7.ห้องแลป - ห้องปฏิบัติการทางวิชาวิทยาศาสตร์ ดูน่าเรียนกว่าตอนจำสูตร จำสมการตั้งเยอะ



8.ห้องการงาน(ครัว) - โปรดสุดแล้วพี่น้อง ยิ่งห้องไหนมีวิชาการงานที่ต้องทำอาหาร พิฆาตคนทั้งโรงเรียนได้ด้วยกลิ่นอันหอมหวน จนอยากจะมาเกาะขอส่วนแบ่ง



9.ห้องแนะแนว - ห้องนี้จะได้รับความนิยมสูงสุดจากเด็ก ม.ปลายที่เตรียมแอดมิชชั่น เพราะต้องเข้าไปขอคำปรึกษาจากอาจารย์ในหลายๆเรื่อง บางครั้งก็ไม่ใช่เรื่องเรียนซะทีเดียว แต่เป็นเหมือนห้องปรึกษาปัญหาชีวิตของนักเรียนเลยหล่ะ



10.ห้องน้ำ - พลาดได้ยังไงห้องนี้ ประหนึ่งห้องแห่งสวรรค์ ถ้าไม่มี...ชีวิตนี้คงเศร้า พวกเราจะไปปลดทุกข์กันที่ไหน บางทีก็แอบไปตรวจความเรียบร้อยบนใบหน้า ส่องกระจก โบ๊ะแป้งแต่งหล่อ

7 สิ่งที่ไม่ควรทำหลังการทานอาหาร‏

1. อย่าสูบบุหรี่ !!

จากผลการทดลองของผู้เชี่ยวชาญพบว่า

การสูบบุหรี่หลังอาหาร เทียบได้กับการสูบบุหรี่ยามปกติถึง 10 มวน

(ทำให้มีโอกาสเป็นมะเร็งมากขึ้น ซึ่งสูบปกติก็มีโอกาสเป็นอยู่แล้ว)



2. อย่ากินผลไม้ทันทีหลังอาหาร !!

เพราะมันไปพองในท้องคุณ

ให้กินผลไม้ 1 หรือ 2 ชม. ก่อนหรือหลังอาหารก็ได้จะดีกว่า



3. อย่าดื่มน้ำชา !!

เพราะว่าใบชามีความเป็นกรดสูง

ทำให้โปรตีนในอาหารที่เรากินกระด้างขึ้นทำให้ย่อยยาก



4. อย่าขยายเข็มขัดหลังกินอิ่ม !!

เพราะเป็นเหตุให้ลำไส้ไม่ปกติ



5. อย่าอาบน้ำหลังกินข้าว !!

เพราะการอาบน้ำ จะทำให้โลหิตไหลเวียนไปที่มือ และเท้าทั่วร่างกาย

เป็นเหตุให้ปริมาณโลหิตไหลเวียนบริเวณท้องก็เพิ่มขึ้น

ซึ่งส่งผลให้ระบบการย่อยอาหารทำงานได้ไม่เต็มที่



6. อย่าเดินหลังอาหาร !!

แม้คุณจะเคยได้ยินว่า

กินข้าวแล้วให้เดินสัก 100 ก้าวจะทำให้อายุยืนถึง 99 ปี !?!

การเดินทันทีทำให้การย่อยเพื่อดูดซึมสารอาหารทำได้ไม่ดี

ควรรออย่างน้อยสักชั่วโมงค่อยเดินถ้าต้องการ



7. อย่านอนทันที !!

อาหารที่รับประทานเข้าไปไม่สามารถย่อยได้เต็มที่

อาจทำให้เกิดลมหรือแก๊สในทางเดินอาหาร

12 วิชาเลือกของเด็กนอก ที่เด็กไทยต้องร้องว้าววว !

Yearbook Production (การทำหนังสือรุ่น)





วิชานี้คือการสอนขั้นตอนการทำหนังสือรุ่น โดยจะได้เรียนการทำแบบละเอียดสุดๆ ตั้งแต่การเก็บข้อมูลจากเพื่อนๆ การจัดหน้าหนังสือ การออกแบบกราฟฟิค การส่งเข้าโรงพิมพ์ การพิสูจน์อักษร



Photography (การถ่ายภาพ)






การเรียนถ่ายภาพที่ไฮสคูล เค้าเรียนกันตั้งแต่ม.ต้นเลย การเรียนของเค้ามีถึงขั้นการไปออกทริป ส่งประกวดระดับโรงเรียนระดับเขต คนที่สนใจเรียนก็ต้องมีกล้องเป็นของตัวเองสะก่อน จะกล้องแบบไหนก็ได้ เพราะการเรียนภาพถ่ายระดับไฮสคูล เค้าจะสอนกันในระบบเบื้องต้น + มุมมองการถ่ายภาพมากกว่า



Cosmetology (เครื่องสำอางศึกษา)



ชื่อวิชานี้ก็มาจากคอสเมติกซึ่งแปลว่า เครื่องสำอาง นั้นเเหละ แต่ไม่ได้หมายถึงการผลิตเครื่องสำอางออกมาขายนะ แต่ระดับไฮสคูล จะสอนเกี่ยวกับการผสมง่ายๆในเครื่องสำอางที่เราพบเจอกันบ่อยๆ และดูว่าส่วนผสมไหนเหมาะกับผิวไหน เพื่อจะได้ใช้เครื่องสำอางที่เหมาะสม







Orchestra (ออเครสตร้า)





เหมาะกับคนใจรักเสียงดนตรีที่อยากจะเปล่งเสียงออกมา ซึ่งอันนี้อาจจะเป็นข้อได้เปรียบของประเทศตะวันตกที่เค้ามีบุคลากรที่ชำนาญด้านวงออเครสตร้าเป็นจำนวนมาก ดังนั้นการที่จะหาอาจารย์มาสอนออเครสตร้าของไทยยังมีไม่มากนักและลำบากด้วย



Animal care (การดูแลสัตว์)



ซึ่งส่วนมากจะหมายถึงสัตว์พวกหมา แมว กระรอก หรืออะไรที่เราเลี้ยงได้ เพราะคนส่วนมากชอบเลี้ยงสัตว์กันแต่ก็ดูแลสัตว์กันผิดๆ ดังนั้น จึงเหมาะกับคนที่รักสัตว์และพร้อมที่จะเรียนรู้วิธีการดูแลพวกเขาอย่างถูกวิธี



World Literature (วรรณกรรมโลก)



ในวิชานี้จะได้เรียนกับวรรณกรรมชื่อดังของโลกมากมายหลายประเทศ เช่น Napoleon and Josephine, Romeo and Juliet, Pinocchio พร้อมทั้งเรียนรู้ประวัติของผู้ประพันธ์และวิเคราะห์วรรณกรรมอย่างง่ายๆ



Anatomy (กายวิภาคศาสตร์)



เป็นวิชาสุดมันของนิสิตนักศึกษาแพทย์ศาสตร์ ที่เมืองนอกจะเรียนกันตั้งแต่ไฮสคูล ซึ่งจะแยกวิชานี้ออกเป็นวิชาโดดๆ ต่างจากบ้านเราที่จะไปรวมกันในคาบของวิชาชีววิทยาที่ผ่าหัวใจหมู ... ซึ่งการผ่าเนี่ย จะผ่ากันแบบอลังการมาก เช่น ผ่าซากปลาโลมา ผ่าซากแมว ซึ่งทางโรงเรียนจะมีซากพวกนี้มาใหเราเรียนกัน


Child Service (การดูแลเด็ก)






วิชานี้เหมาะกับคนที่รักเด็กและใจเย็น เพราะจะได้ลองเลี้ยงเด็กกันจริงจังมาก ตอนแรกอาจจะเป็นลูกของครูในโรงเรียนนี้แหละ แต่พอเริ่มเก่งแล้ว อาจจะออกไปตามสถานที่เลี้ยงเด็กต่างๆ เพื่อลองเป็นพี่เลี้ยงเด็กกันจริงๆ

Theatre (การละคร)






เน้นหลักๆที่การแสดงละครเวที ใครถนัดอะไรก็เลือกได้เลย พระเอก พระรอง นางเอก นางรอง นางร้าย ฯลฯ ซึ่งใครมีแววก็จะได้เล่นในงานต่างๆของโรงเรียน ซึ่งสนุกกันมากเพราะเด็กฝรั่งกล้าแสดงออก เล่นที่สุดเหวี่ยง อินได้อีก



Graphic Design (กราฟฟิคดีไซน์)





เป็นวิชาที่น่าสนใจและน่าเรียนมาก เพราะไฮเทคและอินเตอร์สุดๆ แถมยังเก็บเป็นพอร์มฟอลิโอไว้สมัครเข้ามหาวิทยาลัยได้ด้วย โดยจะเริ่มสอนตั้งแต่โปรแกรมพื้นฐาน Photoshop ไปยัง Illustrator, Maya 3D ซึ่งในเมืองไทยบางโรงเรียนก็มีเปิดสอนแล้ว ถือว่าเป็นประโยชน์กับตัวเอง



Tourism (การท่องเที่ยว)

วิชาที่แสนจะน่าสนใจมาก และหลายคนก็อยากเรียน แต่ไม่ได้มีเฉพาะเที่ยวอย่างเดียว เพราะมันมีมากกว่านั้นและยากกว่านั้น การที่จะเป็นไกด์จะต้องรู้ครอบคลุมจักรวาลเกี่ยวกับการท่องเที่ยว



Sign Language (ภาษามือ)






จะได้เรียนรู้การใช้ภาษามือสื่อสารเป็นคำๆและเป็นประโยคง่ายๆ วิชานี้เป็นวิชาที่ฮิตมากๆ เพราะถือว่าเป็นวิชาที่แปลกใหม่ เรียนแล้วได้ประสบการณ์เพียบ แถมยัมีโรงเรียนที่เปิดสอนวิชานี้เยอะมาก

คณะแปลกๆ ที่(แทบ)ไม่มีสอนในเมืองไทย

Suicide Prevention (การป้องกันระวังการอัตวินิบาตกรรม)




 
เนื้อหาสอนถึงการแยกแยะชนิดและประเภทของพฤติกรรมการอัตวินิบาตกรรมหรือการฆ่าตัวตาย โดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์และวิจัยเพื่อค้นหาพฤติกรรมการฆ่าตัวตายที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ยังศึกษาลึกลงไปยังเชื้อชาติและวัฒนธรรมต่างๆ ที่อาจเป็นปัจจัยต่อการฆ่าตัวตาย เพื่อหาทางป้องกันและลดปัญหาการฆ่าตัวตายที่เกิดขึ้นในสังคมใครสงสัยว่าทำไมคนญี่ปุ่นเกาหลีเค้าถึงมีสถิติการฆ่าตัวตายกันเยอะ(มาก) สาขานี้น่าจะตอบโจทย์ได้อย่างแน่นอน และน้องๆ อาจจะมีโอกาสได้ช่วยเหลือชีวิตคนที่คิดจะฆ่าตัวตายได้อีกมาก



Motorsport Engineering (วิศวกรรมรถแข่ง)






เนื้อหาเกี่ยวกับการผลิตรถแข่งในทุกๆ โครงสร้างขั้นตอน รวมไปถึงศึกษาวงการธุรกิจรถแข่ง เพื่อพัฒนารถแข่งที่มีประสิทธิภาพ ทนทาน และมีอายุการใช้งานได้ยาวนาน วิชาที่ต้องเรียน เช่น การจัดการทีมรถแข่ง การทดสอบเครื่องยนต์ การออกแบบรถแข่ง กฏหมายการแข่งขัน กลศาสตร์ที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของอากาศและก๊าซ ใครหลงใหลในความเร็วและมันส์ของรถแข่ง และอยากจะเปลี่ยนความหลงใหลให้เป็นประโยชน์ล่ะก็ น่าจะมาลองเรียนด้านนี้มากๆ



Artificial Intelligence (ปัญญาประดิษฐ์)






เนื้อหาสอนเกี่ยวกับการพัฒนาและความเข้าใจต่อกระบวนการของความ ฉลาดที่เกิดขึ้นหรือกระบวนการเชาวน์ปัญญาของมนุษย์ เป็นสาขาหนึ่งใน ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ และวิศวกรรมเป็นหลัก แต่ยังรวมถึงศาตร์ใน ด้านอื่นๆ อย่างจิตวิทยา ปรัชญา หรือชีววิทยา ซึ่งสาขาปัญญาประดิษฐ์ เป็นการเรียนรู้เกี่ยวกับกระบวนการการคิด การกระทำ การให้เหตุผล การ ปรับตัว หรือการอนุมาน และการทำงานของสมอง ใครอยากรู้ว่าสมอง มนุษย์ทำงานยังไง ทำไมคนนึงถึงฉลาดกว่าอีกคน ทำไมคนนั้นถึงเป็น อัจฉริยะ สาขานี้มีคำตอบชัวร์ (แอบได้ยินมาว่าที่ไทยก็เริ่มมีสอนแล้ว)



Women's Studies (สตรีเพศศึกษา)




 

ในต่างประเทศ สาขานี้เป็นสาขาที่บูมมากๆ อาจเพราะว่ามีการลุกฮือของกลุ่มสตรีต่างๆ เพื่อเรียกร้องสิทธินั่นนี่มากมาย ซึ่งเมืองไทยบ้านเรายังไม่ค่อยมีอะไรอย่างนั้น จึงทำให้สาขาวิชาสตรีเพศศึกษายังไม่เป็นที่รู้จักในบ้านเราเท่าไร (จริงๆ ก็มีตามคณะรัฐศาสตร์ แต่ก็จะเรียนเป็นวิชาแค่ตัวเดียวเท่านั้น ไม่ได้เจาะลงลึกเท่าไร) ซึ่งเนื้อหาก็จะเกี่ยวกับการเมือง สังคม ประวัติศาสตร์ ทัศนคติต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับผู้หญิงหรือสตรีเพศ เรียนรู้ความแตกต่างระหว่างเพศชายและเพศหญิงในด้านศักยภาพและความต้องการที่แตกต่างกัน ใครมีความคิดอยากให้สิทธิและบทบาทของหญิงไทยเท่าเทียมผู้ชายล่ะก็ ห้ามพลาดเรียนด้านนี้เด็ดขาด


Occupational Therapy (อาชีวะบำบัด)





อาชีวบำบัดเป็นสาขาหนึ่งที่เกี่ยวข้องในงานฟื้นฟูสมรรถภาพ มองเผินๆ อาจจะเหมือนกายภาพบำบัด แต่เปล่าเลยค่ะ กายภาพบำบัดจะช่วยบำบัด ให้ผู้ป่วยกลับมามีสุขภาพที่ดีขึ้นและใช้ชีวิตได้ตามปกติ แต่อาชีวบำบัด จะเน้นที่การสอนหรือฝึกหัดการใช้อุปกรณ์หรือเครื่องมือต่างๆ เพื่อให้ผู้ ป่วยเหล่านั้น ซึ่งส่วนมากจะเป็นผู้ป่วยโรคจิต โรคประสาท ปัญญาอ่อน พิการ หรือติดยาเสพติด นำเครื่องมือต่างๆ มาใช้ทำกิจกรรมที่นำ ไปสู่การประกอบอาชีพเพื่อสร้างรายได้ นอกจากนี้คนที่เรียนอาชีวบำบัด ก็ต้องสามารถดูแลและควบคุมพฤติกรรมผู้ป่วยร่วมกับแพทย์ได้ด้วย ใครที่อยากช่วยเหลือคนที่(เหมือนจะ)ด้อยโอกาสทางสังคม ให้เค้า สามารถดูแลตัวเองและสร้างประโยชน์ให้แก่สังคมได้ ควรเรียนสาขานี้ อย่างมาก

Theology (เทววิทยา)






การศึกษาเกี่ยวกับคำสอนทางศาสนา โดยเฉพาะการศึกษาเกี่ยวกับพระเจ้าและความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์และกับโลก วิชาที่ต้องเรียนได้แก่ ภาษาบาลี ปรัชญา คัมภีร์ไบเบิ้ลฮิบรู ภาษาอะราบิคแบบคลาสสิค เป็นต้น สถาบันดังๆ ระดับโลกล้วนแต่มีสอนวิชานี้ทั้งนั้น เช่น มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นสถาบันที่มีสอนสาขาเทววิทยาที่ใหญ่ที่สุดในอังกฤษ รวมถึงมีทุนการศึกษาให้แก่นักศึกษาต่างชาติที่สนใจอยากศึกษาด้านนี้เยอะแยะมากมายเลยล่ะ ใครสนใจด้านพระเจ้าและอยากจะศึกษาให้ลึกลงไป สาขานี้นับว่าน่าสนใจมากทีเดียวค่ะ เพราะในเมืองไทยส่วนมากจะเป็นพวกศาสนศึกษาซึ่งจะเน้นที่เรื่องของศาสนา ต่างกับเทววิทยาตรงที่เทววิทยาจะเน้นที่ตัวมนุษย์กับพระเจ้ามากกว่า


Meteorology (อุตุนิยมวิทยา)




 

หรือศึกษาเกี่ยวกับการพยากรณ์อากาศ การเปลี่ยนแปลงของอากาศ มลพิษที่มีในชั้นบรรยากาศ สังเกตปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ซึ่งใครอยากเรียนด้านนี้ต้องถนัดเลขกับฟิสิกส์ด้วยนะคะ เพราะต้องใช้ในการเรียนมากทีเดียว ดังนั้นใครที่อยากเป็นนักพยากรณ์อากาศ นักอุตุนิยมวิทยา ที่จะได้ช่วยเหลือคนจำนวนมากให้รู้ถึงสภาพอากาศล่วงหน้า และสามารถเตรียมรับมือกับอากาศ (ที่อาจจะร้ายแรงได้ทุกเมื่อ) ได้ทันควัน รีบมาเรียนด้านนี้กันด่วนเลยค่ะ เพราะได้ใช้ประโยชน์จริงแน่ๆ และที่สำคัญที่สุด ขอบอกว่าอาชีพนักอุตุนิยมวิทยาเนี่ยไม่ได้สำคัญแค่ในระดับประเทศนะคะ แต่สำคัญระดับโลกและจักรวาล

Jean Jaques Rousseau


ฌอง-ฌาค รุสโซ (Jean Jaques Rousseau) 22 มิถุนายน พ.ศ. 2255 - 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2321 เป็นนักปรัชญา นักเขียน กทฤษฎีการเมือง และนักประพันธ์เพลง ที่ฝึกหัดด้วยตนเอง แห่งยุดแสงสว่าง

ปรัชญาของรุสโซ

คำสอนของเขาสอนให้คนหันกลับไปหาธรรมชาติ ( back to nature ) เป็นการยกย่องคุณค่าของคนว่า "ธรรมชาติของคนดีอยู่แล้วแต่สังคมทำให้คนไม่เสมอภาคกัน" เขาบอกว่า "เหตุผลมีประโยชน์ แต่มิใช่คำตอบของชีวิต ดังนั้นเราจึงต้องพึ่งความรู้สึก สัญชาตญาณและอารมณ์ของตัวเราเอง ให้มากกว่าเหตุผล"

ทฤษฎี "คนเถื่อนใจธรรม"

รุสโซเชื่อว่ามนุษย์นั้นเป็นคนดีโดยธรรมชาติ หรือเป็น "คนเถื่อนใจธรรม" (noble savage) เมื่ออยู่ในสภาวะธรรมชาติ แต่ถูกทำให้แปดเปื้อนโดยสังคม เขามองสังคมว่าเป็นสิ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้น และเชื่อว่าการพัฒนาของสังคม โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นของการพึ่งพากันในสังคม เป็นสิ่งที่อันตรายต่อความเป็นอยู่ของมนุษย์

ความเรียงชื่อ "การบรรยาเกี่ยวกับศิลปะและวิทยาศาสตร์" (2293) ที่ได้รับรางวัลของเมืองได้อธิบายความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และศิลปศาสตร์นั้น ไม่เป็นประโยชน์กับมนุษย์ เขาได้เสนอว่าพัฒนาการของความรู้ทำให้รัฐบาลมีอำนาจมากขึ้น และทำลายเสรีภาพชของปัจเจกชน เขาสรุปว่าพัฒนาการเชิงวัตถุนั้น จะทำลายโอกาสของความเป็นเพื่อนที่จริงใจ โดยจะทำให้เกิดความอิจฉา ความกลัว และความระแวงสงสัย

งานชิ้นถัดมาของเขา "การบรรยายว่าด้วยความไม่เสมอภาค" ศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาและการทำลายของมนุษย์ ตั้งแต่ในสมัยโบราณ จนถึงสมัยใหม่ เขาเสนอว่ามนุษย์ในยุคแรกสุดนั้นเป็นมนุษย์ครึ่งลิงและอยู่แยกกัน มนุษย์แตกต่างจากสัตว์เนื่องจากมีความต้องการอิสระ (free will) และเป็นสิ่งที่สามารถแสวงหาความสมบูรณ์แบบได้ เขายังได้กลาวว่ามนุษย์ยุคบุคเบิกนี้มีความต้องการพื้นฐาน ที่จะดูแลรักษาตนเองและมีความรู้สึกห่วงหาอาทรหรือความสงสาร เมื่อมนุษย์ถูกบังคับให้ต้องมีความสัมพันธ์กันมากขึ้น เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของประชากร จึงได้ปรัลเปลี่ยนทางด้านจิตวิทยา และได้เริ่มให้ความสำคัญกับความคิดเห็นของคนอื่นๆ ว่าเป็นสิ่งสำคัญต่อการมีชีวิตที่ดีต่อตนเอง รุสโซได้เรียกความรู้สึกใหม่นี้ ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการผลิบานของมนุษย์

ผู้ติดตาม

เกี่ยวกับฉัน